เขากะเวลาได้เหมาะเหม็ง กองทหารไม่มีเวลาตอบโต้ พวกนั้นเห็นมันในวินาทีสุดท้ายและพยายามจะหยุดม้า แต่พวกนั้นมาเร็วเกินไปและไม่มีเวลาพอ
พวกแนวหน้าพุ่งเข้าใส่กับดัก โซ่หนามขึงขวางขาม้าทุกตัว ทำให้คนขี่หน้าทิ่มกระแทกพื้น โดยมีม้าล้มทับซ้ำอีก หลายสิบคนล้มทับกันชุลมุน
อีเร็คไม่มีเวลาภูมิใจในผลงานความเสียหายที่เขาได้ทำ ทหารอีกชุดหันมาและพุ่งมาหาเขาพลางโห่ร้องข่มขวัญ อีเร็คม้วนตัวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า
ขณะที่อัศวินคนหัวหน้ายกหลาวขึ้น อีเร็คอาศัยข้อได้เปรียบที่มี เขาไม่มีม้าและไม่สามารถเผชิญหน้าที่ความสูงระดับเดียวกันได้ แต่เพราะเขาอยู่ต่ำ เขาจึงสามารถใช้พื้นดินเบื้องล่าง อีเร็คพุ่งลงไปที่พื้นทันที ม้วนตัวแล้วยกดาบขึ้นฟันขาม้าตัวหนึ่ง มันสะดุด ทำให้ทหารที่ขี่หน้าทิ่มลงมาก่อนที่จะมีโอกาสปล่อยอาวุธ
อีเร็คยังกลิ้งต่อไป และสามารถหลบเท้าม้าที่กำลังตื่นตกใจรอบ ๆ ตัวเขาได้ พวกมันพยายามจะวิ่งหลบม้าที่ล้มอยู่ แต่หลายตัวทำไม่สำเร็จ สะดุดม้าที่นอนตาย ทำให้มีม้าล้มฟาดลงบนพื้นมากขึ้นหลายสิบตัว เกิดฝุ่นตลบฟุ้งและทำให้เกิดแนวกั้นกองทหารไว้
เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่อีเร็คหวังไว้ เกิดฝุ่นตลบและความชุลวุน มีม้าล้มลงบนพื้นเพิ่มอีกหลายสิบตัว
อีเร็คกระโดดลุกขึ้นยืน ยกดาบขึ้นรับดาบที่ฟาดใส่ศีรษะ เขาหมุนตัวและรับหลาว ก่อนที่จะกั้นทวนและขวานไว้ได้ เขาป้องกันอาวุธที่ฟาดฟันใส่เขาจากทุกด้าน แต่ก็รู้ว่าเขาไม่สามารถรับมือได้ตลอดไป เขาจะต้องเป็นฝ่ายโจมตีหากอยากจะมีโอกาส
อีเร็คม้วนตัวแล้วคุกเข่า เขาพุ่งดาบออกไปเหมือนกับหอก มันแหวกอากาศไปปักอกศัตรูคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ตามันเบิกโพลง เอียงตกจากหลังม้าลงไปนอนตาย
อีเร็คอาศัยจังหวะกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและกระชากกระบองมาจากมือของมันก่อนที่จะขาดใจตาย มันเป็นกระบองที่ดี อีเร็คเลือกทหารคนนี้ด้วยเหตุนี้ กระบองเงินด้ามยาวมีโซ่ยาวสี่ฟุตและลูกตุ้มหนามสามลูก เขาเหวี่ยงมันขึ้นเหนือหัวแล้วฟาดอาวุธหลุดจากมือศัตรูอีกหลายคนพร้อมกัน จากนั้นจึงฟาดอีกครั้งส่งศัตรูหล่นจากหลังม้า
อีเร็คมองสำรวจสนามรบและเห็นว่าเขาได้สร้างความเสียหายไปมากทีเดียว อัศวินเกือบร้อยคนล้มไปแล้ว แต่ที่เหลืออีกอย่างน้อยสองร้อยคนกำลังรวมกลุ่มกันและพุ่งมาหาเขาแล้วในตอนนี้ด้วยความมุ่งมาด
อีเร็คขี่ม้าเข้าหา คนเดียววิ่งเข้าใส่ศัตรูสองร้อยคน เขาส่งเสียงร้องข่มขวัญ ชูกระบองขึ้นสูงยิ่งขึ้น และภาวนาต่อพระเจ้าขอให้เขาไม่หมดแรง
*
อลิสแตร์ร้องไห้ขณะที่เกาะวาร์คฟินไว้แน่นสุดกำลัง มันควบตะบึงพานางไปตามถนนเส้นที่คุ้นเคยดีมากเหลือเกิน กลับไปยังซาวาเรีย นางกรีดร้องและเตะมันไปตลอดทาง พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มันหันหลังกลับไปหาอีเร็ค แต่มันไม่ยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ไม่เคยพบม้าเช่นนี้มาก่อน มันเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่ลังเลและจะไม่เปลี่ยนใจ เห็นได้ชัดว่ามันจะพานางไปยังสถานที่ที่อีเร็คสั่งเท่านั้น ในที่สุดนางก็ยอมรับความจริงว่าไม่สามารถทำอะไรได้
อลิสแตร์มีความรู้สึกผสมปนเปกัน ขณะที่นางขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าไป เมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่นานในฐานะสาวใช้รับจ้าง ในมุมหนึ่งมันก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้คิดถึงเจ้าของโรงแรมผู้กดขี่ข่มเหงนาง คิดถึงเรื่องเลวร้ายทุกอย่างของที่นี่ นางหวังที่จะใช้ชีวิตต่อไป ได้ออกไปจากเมืองนี้กับอีเร็ค และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา ขณะที่นางปลอดภัยอยู่ภายในกำแพงเมืองนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกกังวลถึงอีเร็คที่อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับทั้งกองทัพ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้นางไม่สบายใจ
เมื่ออลิสแตร์ตระหนักว่าวาร์คฟินจะไม่หันหลังกลับ นางรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่นางจะทำได้ต่อไปคือหาทางช่วยอีเร็ค เขาขอให้นางอยู่ที่นี่ ภายในกำแพงเมืองที่ปลอดภัย แต่นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะทำ ถึงอย่างไรนางก็เป็นธิดาของราชา และนางไม่ใช่คนที่จะวิ่งหนีจากความกลัวหรือการเผชิญหน้า อีเร็คได้พบคู่ครองที่เหมาะสมในตัวนาง นางเองก็มีชาติตระกูลและมีความแน่วแน่เช่นเดียวกับเขา และนางคงไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้อีกหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาข้างนอกนั่น
อลิสแตร์รู้จักเมืองนี้เป็นอย่างดี นางบังคับวาร์คฟินไปที่ปราสาทของท่านดยุค ขณะนี้เมื่อทั้งสองได้เข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองแล้ว วาร์คฟินจึงยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ขี่มันไปที่ทางเข้าปราสาท แล้วลงจากหลังม้า แล้ววิ่งผ่านมหาดเล็กที่พยายามจะห้ามนาง นางผลักอาวุธของพวกเขาแล้ววิ่งเร็วจี๋ไปตามทางเดินหินอ่อนที่นางคุ้นเคยดีสมัยเป็นสาวใช้
อลิสแตร์ใช้ไหล่ดันประตูบานใหญ่ของท้องพระโรง กระแทกมันให้เปิดออก แล้วถลันเข้าไปในท้องพระโรงส่วนตัวของท่านดยุค
สมาชิกสภาหลายคนหันมามองดูนาง ทุกคนต่างสวมเสื้อคลุมเต็มยศ มีท่านดยุคนั่งอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยอัศวินหลายคน พวกเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางเข้าไปขัดจังหวะการประชุมสำคัญบางอย่าง
“เจ้าเป็นใครกัน แม่หญิง?” คนหนึ่งตะโกนถามขึ้น
“ใครกันที่กล้าเข้ามาขัดจังหวะการว่าราชการของท่านดยุค?” อีกคนตะโกนบ้าง
“ข้ารู้จักนาง” ท่านดยุคบอก พลางลุกขึ้นยืน
“ข้าด้วย” แบรนด์ทเอ่ย อลิสแตร์จำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของอีเร็ค “เจ้าคืออลิสแตร์ ใช่ไหม?” เขาถาม “เจ้าสาวหมาด ๆ ของอีเร็คใช่ไหม?”
นางวิ่งไปหาเขา น้ำตานอง แล้วคว้ามือเขาไว้
“ได้โปรด ใต้เท้า ช่วยข้าด้วย อีเร็ค!”
“เกิดอะไรขึ้น?” ท่านดยุคถามด้วยความตกใจ
“เขากำลังอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูเพียงลำพัง เขาไม่ยอมให้ข้าอยู่ด้วย ได้โปรด! เขาต้องการความช่วยเหลือ!”
อัศวินทุกคนต่างผุดลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่ได้เอ่ยสักคำ แล้วต่างวิ่งกรูกันออกไปจากท้องพระโรง โดยไม่มีผู้ใดลังเลเลย อลิสแตร์หันหลังแล้ววิ่งตามพวกเขาไป
“อยู่ที่นี่!” แบรนด์ทสั่ง
“ไม่มีทาง!” นางบอก พลางวิ่งตามหลังเขาไป “ข้าจะพาท่านไปหาเขา!”
พวกเขาวิ่งไปตามทางเดิน ออกจากปราสาทและตรงไปหาม้าฝูงใหญ่ที่กำลังรออยู่ แล้วต่างขึ้นม้าของตัวเองโดยไม่ลังเลเลย อลิสแตร์กระโดดขึ้นหลังวาร์คฟิน แล้วเตะมัน ให้นำคณะไป ด้วยความกระวนกระวายเช่นเดียวกับคนอื่น
ขณะที่ทุกคนควบผ่านเขตปราสาทของท่านดยุค ทหารที่อยู่โดยรอบเริ่มขึ้นหลังม้าและร่วมขบวนไปด้วย เมื่อทุกคนผ่านประตูเมืองซาวาเรียออกไป ก็เป็นกองกำลังที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน โดยมีอลิสแตร์ขี่ม้านำด้านหน้า ขนาบข้างด้วยแบรนด์ทและท่านดยุค
“หากอีเร็ครู้ว่าเจ้ามากับพวกเราด้วย ข้าหัวขาดแน่” แบรนด์ทบอก ขณะที่ขี่ม้าไปข้างนาง “ได้โปรด บอกเรามาว่าเขาอยู่ที่ไหนก็พอ แม่หญิง”
แต่อลิสแตร์ส่ายศีรษะอย่างดื้อดึง กลั้นน้ำตาขณะที่ควบไปเร็วขึ้น ท่ามกลางเสียงอึกทึกจากเหล่าทหารรอบตัวนาง
“ข้ายอมตายเสียดีกว่าจะทอดทิ้งอีเร็ค!”
บทที่ สาม
ธอร์ขี่ม้าไปตามทางในป่าด้วยความระแวดระวัง เจ้าชายรีซ โอคอนเนอร์ เอลเด็น และคู่แฝดขี่ม้าตามไปข้างเขา โครห์นวิ่งตามมาด้านล่าง เมื่อทุกคนโผล่พ้นแนวป่าที่ฟากไกลสุดของหุบเขาใหญ่ หัวใจธอร์เต้นเร็วขึ้นด้วยความคาดหวัง เมื่อในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชายป่าทึบ เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้คนอื่นเงียบเสียง ทุกคนต่างหยุดนิ่งข้างเขา
ธอร์มองออกไปและสำรวจชายหาดที่ทอดแผ่กว้างไป ท้องฟ้าโล่งกว้าง และไกลกว่านั้นคือทะเลสีเหลืองแผ่ไพศาลที่จะนำพวกเขาไปยังดินแดนห่างไกลของจักรวรรดิ ทะเลทาร์ทูเวียน ธอร์ไม่ได้เห็นผืนน้ำของมันมาตั้งแต่การเดินทางไปฝึกร้อยวัน มันรู้สึกประหลาดที่ได้กลับมาที่นี่อีก และครั้งนี้ ด้วยภารกิจที่กุมชะตาของอาณาจักรวงแหวนไว้
หลังจากที่พวกเขาข้ามสะพานข้ามหุบเขาใหญ่มา การขี่ม้าผ่านป่าระยะสั้น ๆ ในแดนเถื่อนก็เป็นไปอย่างราบรื่น คอล์คและบรอมบอกให้ธอร์มองหาเรือลำเล็กที่ผูกไว้ที่ชายหาดของทะเลทาร์ทูเวียน มันถูกแอบซ่อนไว้ใต้ร่มเงากิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ที่ชะโงกอยู่เหนือทะเล ธอร์มาตามที่บอกไว้ทุกประการ และเมื่อมาถึงชายป่า เขาก็สังเกตเห็นเรือ ถูกซ่อนไว้อย่างดี พร้อมที่จะพาพวกเขาไปยังที่ที่ต้องไป ธอร์รู้สึกโล่งอก
แต่แล้วเขาก็เห็นทหารลาดตระเวนของจักรวรรดิหกคน ยืนอยู่บนหาดทรายตรงหน้าเรือ กำลังสำรวจดูมัน ทหารคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนเรือที่เกยอยู่บนชายหาด เรือโยกไกวตามจังหวะคลื่นซัดเบา ๆ ไม่ควรจะมีใครที่นี่
โชคร้ายช่างกระหน่ำซ้ำเติม ขณะที่ธอร์มองออกไปไกลยังขอบฟ้า เขาเห็นเป็นเงาร่างอยู่ไกล ๆ ของสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกองเรือทั้งหมดของจักรวรรดิ เรือสีดำนับพันลำ มีธงสีดำของจักรวรรดิ โชคดีที่กองเรือไม่ได้แล่นมาหาธอร์ แต่กำลังมุ่งหน้าไปอีกทาง ใช้เส้นทางโค้งอ้อมรอบอาณาจักรวงแหวน ไปยังฝั่งของแม็คคลาวด์ ซึ่งพวกนั้นได้ฝ่าข้ามหุบเขาใหญ่ไปแล้ว โชคดีที่กองเรือของจักรวรรดิกำลังวุ่นวายอยู่อีกเส้นทาง
ยกเว้นพลลาดตระเวนหน่วยนี้ ทหารทั้งหกคนอาจจะเป็นหน่วยสอดแนมที่ออกปฏิบัติภารกิจ และอาจจะเดินมาเจอเรือของกองทหารยุวชนเข้า จังหวะไม่ดีเอาเสียเลย หากธอร์และคนอื่น ๆ มาถึงเรือก่อนหน้านี้สักไม่กี่นาที พวกเขาอาจจะได้ขึ้นเรือและแล่นออกจากฝั่งไปแล้ว ตอนนี้พวกเขากลับต้องมาเผชิญหน้า ไม่มีทางที่จะหลบไปได้
ธอร์กวาดตามองไปตามชายหาด ไม่เห็นว่ามีกองทหารอื่นอีก อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ได้เปรียบ น่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนที่มาลำพัง
“ข้าคิดว่าเรือควรจะถูกซ่อนไว้อย่างดี” โอคอนเนอร์เอ่ย
“เห็นชัดว่ายังไม่ดีพอ” เอลเด็นตั้งข้อสังเกต
พวกเขาทั้งหกคนนั่งอยู่บนหลังม้า มองดูเรือลำนั้นและกลุ่มทหาร
“คงจะไม่นานก่อนที่พวกเขาจะเตือนทหารจักรวรรดิหน่วยอื่น ๆ” คอนเวนออกความเห็น
“และจากนั้น เราจะต้องเจอศึกหนัก” คอนวอลกล่าวเสริม
ธอร์รู้ว่าพวกเขาพูดถูก และพวกเขาไม่อย่างเสี่ยงในเรื่องนี้
“โอคอนเนอร์” ธอร์บอก “เจ้ายิงแม่นที่สุดในบรรดาพวกเรา ข้าเคยเห็นเจ้ายิงจากระยะห้าสิบหลา เห็นคนที่ถือคันธนูไหม? เรามีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าทำได้ไหม?”
โอคอนเนอร์พยักหน้าแข็งขัน สายตาจับจ้องอยู่ที่กลุ่มทหารจักรวรรดิ เขาเอื้อมมือข้ามไหล่ไปอย่างระวัง ยกคันธนูขึ้นมา แล้วประทับลูกธนู ง้างสายเตรียมพร้อม