พระราชาทรงรู้สึกว่าหนังตาหนักขึ้น ขณะที่ทรงรู้ว่าคำตอบของเรื่องนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจของพระองค์ หากพระสติแจ่มชัดกว่านี้สักหน่อย อาจจะทรงคิดออก แต่คงต้องรอถึงรุ่งสางจึงค่อยเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาของพระองค์ ให้เริ่มทำการสอบสวนเรื่องนี้ คำถามในใจของพระองค์ไม่ใช่ใครต้องการให้พระองค์ตาย แต่เป็นใครกันที่ไม่ต้องการให้พระองค์ตาย ในราชสำนักเต็มไปด้วยคนที่ต้องการบัลลังก์ของพระองค์ บรรดาแม่ทัพผู้ทะเยอทะยาน สมาชิกสภาเจ้าอุบาย ขุนนางผู้กระหายอำนาจ สายลับ คู่ปรับเก่า คนลอบสังหารจากฝั่งแม็คคลาวด์ หรือแม้แต่มาจากแดนเถื่อน บางทีอาจจะใกล้กว่านั้นก็เป็นได้
พระราชาแม็คกิลทรงกระพริบพระเนตรเมื่อเริ่มง่วงงุน แต่มีบางอย่างดึงความสนใจของพระองค์ทำให้พยายามลืมพระเนตร พระองค์สังเกตเห็นความเคลื่อนไหว เมื่อมองหาก็ไม่พบว่ามีมหาดเล็กอยู่ตรงนั้น ทรงกระพริบพระเนตรอย่างสับสน มหาดเล็กไม่เคยทิ้งให้พระองค์อยู่เพียงลำพังในห้องนี้ และทรงนึกไม่ออกว่าสั่งให้พวกเขาออกไป และยิ่งแปลกมากขึ้น เมื่อประตูห้องเปิดออกกว้าง
ขณะนั้นเอง ราชาแม็คกิลได้ยินเสียงจากอีกฟากของห้อง จึงหันไปมอง ตรงนั้นเองมีบางอย่างเคลื่อนไหวมาตามผนัง โผล่ออกมาจากเงามืดสู่แสงคบไฟ เป็นชายร่างสูงผอม สวมเสื้อคลุมสีดำ มีผ้าคลุมปกปิดใบหน้า พระราชากระพริบพระเนตรอยู่หลายครั้ง พลางสงสัยว่าทรงเห็นสิ่งเหล่านี้จริงหรือไม่ ในตอนแรกทรงมั่นพระทัยว่ามันเป็นเพียงเงา แสงจากคบไฟวูบไหวเล่นตลกกับสายพระเนตรของพระองค์
แต่ครู่ต่อมาร่างนั้นก้าวเข้าใกล้มากขึ้นและมาถึงพระแท่นอย่างรวดเร็ว ราชาแม็คกิลพยายามเพ่งมองในแสงสลัว พยายามดูว่าคือใคร พระองค์ทรงผุดลุกขึ้นประทับนั่งด้วยสัญชาตญาณ และด้วยความเป็นนักรบเก่า ทรงเอื้อมไปที่บั้นพระองค์เพื่อจับดาบหรืออย่างน้อยก็มีดสั้น แต่พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออกและไม่มีอาวุธใดเหลืออยู่ ทรงประทับอยู่บนพระแท่นอย่างไร้อาวุธ
ตอนนี้ร่างนั้นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เหมือนกับอสรพิษในยามราตรี ค่อยคืบคลานเข้ามาใกล้ เมื่อพระราชาแม็คกิลประทับนั่ง พระองค์ทรงเห็นใบหน้านั้น ทั้งห้องยังคงหมุน ความมึนเมาทำให้พระองค์ไม่อาจเข้าใจได้แจ่มชัด แต่ชั่วขณะนั้น ทรงสาบานได้ว่าเป็นใบหน้าของโอรสของพระองค์
กาเร็ธ?
พระราชาทรงตื่นตะหนกขึ้นมาทันที ทรงสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่ ในยามดึกดื่นเช่นนี้ โดยไม่บอกไม่กล่าว
“ลูกพ่อ?” ทรงเรียกออกไป
พระราชาทอดเนตรเห็นแววตามุ่งร้ายและนั่นเพียงพอแล้ว พระองค์กระโดดลุกจากพระแท่น
แต่ร่างนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันกระโจนเข้าใส่ และก่อนที่ราชาแม็คกิลจะทันยกหัตถ์ขึ้นป้องกัน วัตถุหนึ่งสะท้อนกับแสงคบไฟ พุ่งมาอย่างเร็ว เร็วเกินไป คมมีดแหวกอากาศ ปักลงที่พระอุระของพระองค์
พระราชาทรงร้องออกมา เป็นเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทรงประหลาดพระทัยกับเสียงร้องของพระองค์เอง มันคือเสียงกรีดร้องในสนามรบ ที่ทรงเคยได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นเสียงร้องของนักรบที่บาดเจ็บสาหัส
ราชาแม็คกิลทรงรู้สึกถึงโลหะเย็นที่แทงทะลุซี่โครง แทรกผ่านกล้ามเนื้อ ผสมกับพระโลหิต ทิ่มลึกเข้าไปยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดรุนแรงกว่าที่ทรงเคยนึกฝัน ดูราวกับมันจะไม่หยุดทิ่มลึกเข้าไป ราชาอ้าโอษฐ์ค้าง และรู้สึกถึงโลหิตอุ่นและเค็มในพระโอษฐ์ ทรงหายใจแรงขึ้น พยายามบังคับตัวเองให้เงยขึ้นมองใบหน้าเบื้องหลังผ้าคลุม แล้วพระองค์ต้องตกพระทัย ทรงคาดผิด นั่นไม่ใช่ใบหน้าของโอรส แต่เป็นคนใกล้ชิด ใครคนหนึ่งซึ่งคล้ายกับโอรสของพระองค์
สมองของพระองค์ปั่นป่วนด้วยความสับสน ขณะที่ทรงพยายามนึกชื่อของคนผู้นี้
เมื่อร่างนั้นยืนตระหง่านง้ำอยู่เหนือราชาแม็คกิล ในมือถือมีด พระองค์ทรงยกหัตถ์ขึ้นและผลักเข้าที่ไหล่ของชายผู้นั้น ด้วยความพยายามที่ต้องการจะหยุดมัน ทรงรู้สึกถึงพละกำลังของนักรบเก่าปะทุขึ้นในวรกาย รู้สึกถึงพลังของบรรพบุรุษ ส่วนลึกในกายของพระองค์ที่ทำให้ทรงเป็นกษัตริย์ ว่าจะต้องไม่ยอมแพ้ ทรงผลักผู้ลอบสังหารด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ด้วยการผลักเพียงครั้งเดียว
ชายคนนั้นผอมบางกว่าที่ราชาแม็คกิลคิด มันเซถอยหลังพลางส่งเสียงร้องออกมา ถลาไปอีกฟาก พระราชาทรงลุกขึ้นยืนด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวด ทรงเอื้อมหัตถ์ไปดึงมีดออกจากพระอุระ แล้วขว้างออกไปกระทบพื้นหินเสียงดัง ก่อนจะไถลไปตามพื้น กระแทกเข้ากับผนังที่อยู่ไกลออกไป
ชายคนนั้น ซึ่งผ้าคลุมศีรษะหล่นลงมากองอยู่บนบ่า ตะกายขึ้นยืน จ้องมองกลับมาด้วยดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว ขณะที่ราชาแม็คกิลทรงวางท่าขู่ ชายคนนั้นหันหลังวิ่งไปอีกฟากของห้อง แวะหยิบมีดสั้นก่อนที่จะหนีออกไป
พระราชาพยายามจะไล่ตาม แต่ชายคนนั้นเร็วเกินไป และความเจ็บปวดก็พุ่งพล่านขึ้นอีก แปลบลึกที่พระอุระ ทรงเริ่มรู้สึกอ่อนแรง
ราชาแม็คกิลหยุดยืนนิ่ง เพียงลำพังในห้องบรรทม ทอดเนตรมองโลหิตที่ไหลจากพระอุระสู่พระหัตถ์ พระองค์ทรุดลงกับพระชานุ
พระราชาเริ่มรู้สึกหนาว เอนพระวรกายลงและพยายามจะตะโกนออกมา
“องครักษ์” ทรงร้องเสียงแผ่ว
พระองค์ทรงสูดหายใจลึก แม้จะเจ็บปวดแสนสาหัส ทรงรวบรวมกำลังเปล่งสุรเสียง สุรเสียงแห่งราชา
“องครักษ์!” ทรงตะโกนก้อง
ราชาแม็คกิลทรงได้ยินเสียงฝีเท้าจากโถงที่อยู่ห่างออกไป ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ได้ยินเสียงประตูเปิดออก รู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ แต่ทั้งห้องเริ่มหมุนอีก และครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์น้ำจัณฑ์
สิ่งสุดท้ายที่ทรงเห็นคือพื้นหินเย็น ๆ เคลื่อนเข้าใกล้พระพักตร์
บทที่ สอง
ธอร์คว้าห่วงเหล็กสำหรับเคาะประตูไม้บานมหึมาตรงหน้า แล้วดึงสุดแรง มันเปิดออกช้า ๆ ส่งเสียงเอี้ยดอ้าด เผยให้เห็นห้องบรรทมของพระราชา เขาก้าวเข้าไป รู้สึกขนลุกซู่ไปตามแขนขณะข้ามผ่านธรณีประตู ธอร์รู้สึกถึงความมืดมิดที่นี่ มันอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศราวกับหมอก
เขาก้าวเข้าไปในห้องอีกหลายก้าว ได้ยินเสียงปะทุของคบไฟบนผนัง ขณะก้าวเข้าไปหาร่างที่นอนกองอยู่บนพื้น เขารู้แล้วว่านั่นคือพระราชา รู้ว่าพระองค์ถูกลอบสังหาร รู้ว่าเขามาช้าเกินไป ธอร์อดสงสัยไม่ได้ว่าองครักษ์หายไปไหนกันหมด ทำไมจึงไม่มีใครอยู่ช่วยพระองค์
เขารู้สึกแข้งขาอ่อนเมื่อเหยียบย่างก้าวสุดท้ายเข้าไปหาพระราชา เขาคุกเข่าลงบนพื้นหิน คว้าพระอังสาที่เย็นเฉียบ แล้วพลิกพระวรกายขึ้น
พระราชาแม็คกิล ราชาผู้ล่วงลับ ประทับอยู่ตรงนั้น พระเนตรเบิกโพลง สวรรคต...
ธอร์เงยหน้าขึ้น จู่ ๆ ก็มีมหาดเล็กมายืนอยู่เหนือทั้งสอง ถือแก้วเสวยประดับอัญมณีใบใหญ่ ใบที่ธอร์เห็นในงานเลี้ยง ใบที่ทำจากทองคำและประดับด้วยทับทิมและไพลิน มหาดเล็กจ้องมองธอร์ และค่อย ๆ รินไวน์ลงบนพระอุราของราชาแม็คกิล ไวน์กระเด็นเลอะทั่วใบหน้าของธอร์
ธอร์ได้ยินเสียงร้องแหลม เมื่อหันไปมองก็เห็นเอสโตฟีลีส เหยี่ยวของเขาเกาะอยู่บนพระอังสา กำลังเลียไวน์จากพระปราง
ธอร์ได้ยินเสียง เมื่อหันไปดูก็เห็นอาร์กอน ยืนอยู่เหนือเขา และมองลงมาอย่างเคร่งเครียด มือข้างหนึ่งของเขาถือมงกุฎที่เป็นประกาย ส่วนอีกข้างถือคทา
อาร์กอนเดินมาหาแล้ววางมงกุฎลงบนศีรษะของธอร์อย่างแน่นหนา ธอร์รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่จมลงมา มันพอดิบพอดี เนื้อโลหะโอบรัดรอบขมับของเขา ธอร์เงยหน้ามองอาร์กอนอย่างประหลาดใจ
“บัดนี้เจ้าคือราชา” อาร์กอนประกาศ
ธอร์กระพริบตา และเมื่อเขาลืมตาขึ้น ก็ได้เห็นกองทหารยุวชนและกองรบเงินทุกคน ชายฉกรรจ์และเด็กหนุ่มหลายร้อยคนเบียดเสียดกันเข้ามาในห้อง หันหน้าหาเขา แล้วทุกคนก็คุกเข่าลงพร้อมกัน คำนับให้เขา ก้มหน้าต่ำติดพื้น
“ราชาของพวกเรา” เสียงประสานกันดังขึ้น
ธอร์สะดุ้งตื่น เขาผุดลุกขึ้นนั่ง หายใจแรงพลางมองไปรอบ ๆ ที่นี่ทั้งมืดและชื้น เขาระลึกได้ว่านั่งอยู่บนพื้นหิน หลังพิงกำแพง ธอร์หรี่ตามองไปในความมืด เห็นลูกกรงเหล็กอยู่ห่างออกไปและเบื้องหลังมันคือคบไฟวูบไหว แล้วเขาก็จำได้ ที่นี่คือคุกใต้ดิน เขาถูกลากตัวมาที่นี่หลังจากงานเลี้ยง
เขาจำได้ว่าถูกทหารยามชกเข้าที่ใบหน้า และเขาคงจะหมดสติไป ไม่รู้ว่านานเพียงใด ธอร์ลุกขึ้นนั่ง หายใจแรงขึ้น พยายามสลัดภาพฝันร้ายออกไป มันช่างเหมือนจริง เขาภาวนาไม่ให้เป็นเรื่องจริง อย่าให้พระราชาสวรรคต ภาพพระศพยังติดตาเขาอยู่ นี่ธอร์ได้เห็นบางอย่างจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเอง?
ธอร์รู้สึกว่ามีคนเตะเข้าที่ฝ่าเท้าของเขา เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือเขา
“เจ้าตื่นเสียที” มีเสียงดังขึ้น “ข้ารออยู่หลายชั่วโมงแล้ว”
ในแสงสลัวนั้น ธอร์เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขา รูปร่างผอม ตัวเตี้ยและมีแก้มตอบ มีรอยแผลเป็นจากฝีดาษ แต่ภายใต้ดวงตาสีเขียวคู่นั้นดูมีความใจดีและเฉลียวฉลาด
“ข้าชื่อแมเร็ค” เขาบอก “เพื่อนร่วมห้องขังของเจ้า เจ้าโดนโทษอะไรมาล่ะ?”
ธอร์ยืดตัวขึ้น พยายามคิด เขาเอนหลังพิงกำแพง ยกมือขึ้นเสยผม แล้วพยายามนึก ปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน
“พวกเขาบอกว่าเจ้าพยายามปลงพระชนม์พระราชา” แมเร็คบอกต่อ
“เขาพยายามลอบปลงพระชนม์จริง และเราจะฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ หากเขาออกมานอกลูกกรงนั่น” มีเสียงคำรามบอก
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นขัดจังหวะ เสียงถ้วยดีบุกกระแทกกับลูกกรงโลหะ ธอร์มองไปเห็นตลอดแนวทางเดินนั้นเป็นห้องขัง มีนักโทษท่าทางพิกลแนบศีรษะกับลูกกรง และท่ามกลางแสงวูบไหวของคบไฟ พวกนั้นยิ้มหยันมาให้เขา ส่วนใหญ่ไม่ได้โกนหนวดเครา มีฟันหลอ และบางคนดูเหมือนอยู่ที่นี่มานานหลายปี มันช่างเป็นภาพที่น่ากลัว ซึ่งธอร์ต้องบังคับตัวเองให้เมินหน้าหนี นี่เขาลงมาอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ? เขาจะต้องติดอยู่ที่นี่ กับคนพวกนี้ตลอดไปอย่างนั้นหรือ?
“อย่าไปสนใจพวกเขาเลย” แมเร็คบอก “ที่ห้องนี้มีแค่เจ้ากับข้า พวกเขาเข้ามาไม่ได้หรอก และข้าไม่สนใจหรอกถ้าเจ้าจะวางยาพิษพระราชา ข้าเองก็อยากจะทำเหมือนกัน”
“ข้าไม่ได้วางยาพระราชา” ธอร์บอกอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ได้วางยาใคร ข้าพยายามช่วยพระองค์ต่างหาก ที่ข้าทำคือปัดแก้วเสวยของพระองค์”