"อย่ากังวลไปเลย" เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัส "ข้าตั้งคำถามตัวเองและก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ข้าไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาการและข้าก็ไม่มีแผนการต้นฉบับอะไรที่เหนือไปกว่าการเอาชีวิตรอดที่ข้าทำอยู่เป็นประจำ"
"แล้วเรากำลังไปที่ใด ในตอนนี้?" นายพลถาม
"เพื่อเข้าร่วมกับเจ้าชายเคนดริค อีเร็คและคนอื่นๆ และเข้าไปให้กำลังใจพวกเขา"
พวกเขาขี่ม้าไปมีกองกำลังหลายพันนายที่ดูติดขัดไปกับหนทางที่ไม่ราบรื่น มันเป็นสหพันธ์ของทหารจักรวรรดิและของเจ้าชายก็อดฟรีย์ที่มุ่งหน้าลงตามเนินเขา ข้ามผ่านที่ราบกว้างไกลที่เต็มไปด้วยฝุ่นและความแห้งแล้ง พวกเขามุ่งหน้าไปสู่หุบเขาที่เจ้าชายเคนดริคได้นัดพวกเขาไปชุมนุม
ขณะที่พวกเขาขี่ม้าไป ความคิดนับล้านก็โผเข้ามาสู่จิตใจของเจ้าชายก็อดฟรีย์ พระองค์ทรงสงสัยว่าเจ้าชายเคนดริคและอีเร็คได้เดินทางถึงที่ใดแล้ว ทรงสงสัยว่าพวกเขาจะถูกล้อมด้วยกองกำลังมากกว่าสักเท่าใด ทรงสงสัยว่าสงครามถัดไป พระองค์จะไปได้ไกลสักเท่าใด ที่มันจะเป็นสงครามที่แท้จริง มันจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว จะไม่มีทางใช้กลอุบายได้อีกแล้ว และก็ไม่มีทองคำเหลืออีกแล้ว
พระองค์ทรงกล้ำกลืนและกระวนกระวาย พระองค์ทรงรู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้มีความกล้าหาญเหมือนอย่างเคยที่ทุกคนดูเหมือนว่าจะมี เหมือนที่ทุกคนได้เกิดมาพร้อมกับความอาจหาญ ทุกคนดูจะไร้ซึ่งความกลัวในสงครามหรือแม้ แต่ในชีวิต แต่เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยอมรับว่าพระองค์ทรงกลัว เมื่อมันมาถึงตัวพระองค์ เมื่อสงครามมีความหนาตาขึ้น พระองค์รู้ว่าพระองค์จะไม่เลี่ยงสงคราม แต่พระองค์มิได้มีความคล่องแคล่วและดูงุ่มง่าม พระองค์ไม่ได้มีทักษะเหมือนคนอื่นๆ และทรงไม่รู้ว่าจะมีกี่ครั้งที่เทพเจ้าแห่งความโชคดีจะช่วยพระองค์เอาไว้ได้
คนอื่นๆดูเหมือนไม่ใส่ใจว่าหากพวกเขาตายพวกเขาทุกคนดูเหมือนจะเต็มใจที่จะสละชีวิตเพื่อกลับชัยชนะเจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงเห็นคุณค่าแห่งชัยชนะ แต่พระองค์ทรงรักชีวิตมากกว่า ทรงรักการดื่มเหล้ามอลต์ ทรงรักในรสอาหาร และถึงแม้ในตอนนี้ พระองค์จะรู้สึกถึงเสียงคำรามในท้องและแรงกระตุ้นให้ไปหาความปลอดภัยให้กลับไปยังโรงเหล้าสักที่ ชีวิตแห่งสงครามมันไม่ใช่ชีวิตที่เหมาะกับพระองค์
แต่พระองค์ทรงระลึกถึงธอร์ที่อยู่ในที่ใดสักแห่งและถูกจับตัว พระองค์ทรงคิดถึงการต่อสู้ดั่งเครือญาติร่วมกัน พระองค์ทรงทราบว่านี่คือสถานที่แห่งเกียรติยศที่มีมลทินอย่างที่มันเป็นและบังคับให้พระองค์ทรงต้องอยู่
พวกเขาขี่ม้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกคนขึ้นสู่ระดับสูงสุดของยอดเขาแล้วทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของหุบเขาที่แพร่กระจายออกไปยังเบื้องล่าง พวกเขาหยุดอยู่ตรงนั้นและเจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงต้องหรี่พระเนตร จากแสงพระอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้าและพยายามปรับสภาพการมองเห็น พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นป้องดวงพระเนตรและมองออกไปยังสับสน
จากนั้น เมื่อภาพทุกอย่างปรากฎชัดขึ้น พระองค์ ทรงรู้สึกหวาดกลัว พระหทัยแทบหยุดเต้น เมื่อทรงเห็นว่าทหารหลายพันนายของเจ้าชายเคนดริคและอีเร็ครวมกับทหารของสร็อกกำลังถูกลากตัวออกไป ถูกมัดและจับเป็นเชลย ที่นี่คือจุดนัดหมายที่พวกเขาควรจะเข้ามาร่วมสมทบกำลัง พวกเขาถูกล้อมไว้จากทหารจักรวรรดิที่มีกำลังมากกว่าสิบเท่า พวกเขาเดินด้วยเท้า ส่วนข้อมือถูกมัดไว้และถูกจับเป็นนักโทษ ถูกนำตัวออกไปจากตรงนั้นทุกคน เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงทราบว่า เจ้าชายเคนดริคกับอีเร็คจะไม่มีทางยอมแพ้ ยกเว้นสำหรับเพื่อเหตุผลที่ดีพอ มันดูราวกับว่าพวกเขาได้ถูกจัดฉากเอาไว้
เจ้าชายก็อดฟรีย์มีพระอาการตัวแข็งอยู่ในความแตกตื่นหวาดกลัว และทรงสงสัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์ทรงคาดว่าจะพบพวกเขาท่ามกลางสมรภูมิที่มีการต่อสู้กันอย่างทัดเทียม และทรงคาดว่าจะร่วมเข้าจู่โจมและรวมกำลังเข้ากับพวกเขา แต่ในตอนนี้ พวกเขากำลังลาลับหายตัวไปสู่ขอบฟ้าที่ครึ่งหนึ่งของกองทัพได้พ้นสายตาไปแล้ว
นายพลของจักรวรรดิขี่ม้าขึ้นมาอยู่เขียนข้างเจ้าชายก็อดฟรีย์แล้วพูดเยาะเย้ยขึ้น "มันดูเหมือนว่าทหารฝ่ายท่านแพ้แล้ว" นายพลจักรวรรดิกล่าว "นี่มันไม่เหมือนที่เราตกลงกันไว้"
ก็อดฟรีย์หันมาหาเขาและเห็นท่าทีที่วิตกกังวลของนายพล
"ข้าจ่ายให้เจ้าอย่างงาม" เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัส แม้พระองค์จะรู้สึกกังวล แต่ก็พยายามรวบรวมน้ำเสียงแห่งความมั่นใจและ ในขณะที่พระองค์ทรงรู้ว่าข้อตกลงกำลังจะล้มไม่เป็นท่า "และเจ้าก็สัญญาว่าจะเข้ามาร่วมรบกับข้า"
นายพลจักรวรรดิส่ายหัว
"ข้าสัญญาว่าจะเข้าร่วมรบในสมรภูมิ แต่ไม่ได้จะมาฆ่าตัวตาย กองพลที่มีทหารเพียงไม่กี่พันนายของพระองค์ ไม่อาจจะสู้กองทัพอันมโหฬารทั้งหมดของแอนโดรนิคัสได้ ข้อตกลงมันเปลี่ยนไป พวกท่านจงไปต่อสู้ ด้วยตัวเองเถิดและข้าจะเก็บทองเอาไว้"
นายพลจักรวรรดิหันไปและตะเบ็งเสียงร้อง ขณะที่เขาเตะม้าและมุ่งหน้าออกไปอีกทางหนึ่งโดยมีทหารของข่าวติดตามไปด้วย ในไม่ช้าพวกเขาก็หายตัวไปในอีกด้านหนึ่งของหุบเขา
"เขามีทองของพวกเรา" อะคอร์ธกล่าว "เราควรจะตามเขาไปไหม?"
เจ้าชายก็อดฟรีย์ส่ายพระเกศา ขณะที่ทรงทอดพระเนตรพวกเขาขี่ม้าออกไป
"ทำเช่นนั้นแล้ว มีอะไรดีขึ้นมาหรือ? ทองคำก็คือทองคำ ข้าจะไม่เสี่ยงชีวิตพวกเราไป ปล่อยเขาไปเถิด ทองคำเราหามาได้อีกเสมอๆ"
เจ้าชายก็อดฟรีย์สองหันไปทอดพระเนตรยังขอบฟ้า ไปยังกองทัพของเจ้าชายเคนดริคและอีเร็คที่หายตัวไปแล้ว นี่คือเรื่องที่พระองค์ทรงใส่พระทัย ตอนนี้ พระองค์ไม่มีกองกำลังเสริมและถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวกว่าครั้งก่อนๆ พระองค์ทรงรู้สึกว่าแผนการของพระองค์กลายเป็นไร้คุณค่า
"ต่อจากนี้ไป จะทำอย่างไรกันดี?" ฟุลตันเอ่ยถาม
เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยักไหล่
"ข้าไม่มีแผนการใด" พระองค์ตรัส
"พระองค์ตรัสเช่นนั้นไม่ได้" ฟุลตันกล่าว "พระองค์เป็นผู้บัญชาการกองทัพแล้ว ในตอนนี้"
แต่เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยักไหล่อีกครั้ง "ข้าพูดความจริง"
"การเป็นนักรบอะไรพวกนี้มันยาก" อะคอร์ธกล่าวพร้อมกับเกาบริเวณท้องของเขา แล้วถอดหมวกออกมา "มันไม่ได้สำเร็จอย่างที่ท่านคาดไว้ใช่หรือไม่?"
เจ้าชายก็อดฟรีย์ประธรรมนั่งตรงนั้นบนหลังม้าใส่พระเกศาพยายามไตร่ตรองสิ่งที่ควรกระทำพระองค์ต้องทรงจัดการในสิ่งที่ไม่คาดคิดและทรงไม่มีแผนการฉุกเฉินใดๆขึ้นอีก
"เราควรจะกลับดีไหม?" ฟุลตันถาม
"ไม่" เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงได้ยินสิ่งที่ตรัสและรู้สึกตกตะลึงกับพระองค์เอง
คนอื่นๆต่างหันและมองมายังพระองค์ด้วยความรู้สึกช็อค คนอื่นๆเกาะกลุ่มกันเข้ามาใกล้เพื่อเข้ามาฟังคำสั่งของพระองค์
"ข้าอาจจะไม่ใช่นักรบที่ยิ่งใหญ่" เจ้าชายก็อดฟรีย์กล่าว " แต่พวกนั้นคือพี่น้องของข้าที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาถูกจับตัวไป พวกเราไม่สามารถหันหลังกลับไปได้ แม้กระทั่งมันหมายถึงความตายของพวกเรา"
"ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?" นายพลซิเลเซียถามขึ้น "พวกเขาเหล่านั้นทุกคนเป็นนักรบแห่งกองรบเงินที่เยี่ยมยอด นักรบชั้นดีของแม็คกิลและของเมืองซิเลเซีย พวกเขาทุกคนทั้งหมดนั่นไม่สามารถต่อกรกับทหารของจักรวรรดิได้ แล้วท่านคิดว่าพลทหารเพียงไม่กี่พันนายของเรา ภายใต้ การบัญชาการของท่านจะทำมันได้งั้นหรือ?"
เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงหันไปหาเขาและทรงรู้สึกรำคาญ ทรงรู้สึกเหนื่อยกับการคลางแคลงใจไม่ได้รับความเชื่อถือ
"ข้าไม่ได้บอกว่าพวกเราจะชนะ” พระองค์ทรงโต้กลับมา “ข้าพูดเพียงว่า นั่นคือสิ่งถูกต้องที่ควรกระทำ ข้าจะไม่ละทิ้งพวกเขาตอนนี้ถ้ าพวกเจ้าอยากจะหันไปและกลับ บ้านก็ตามสบาย ข้าจะไปเข้าโจมตีพวกนั้นด้วยตัวเอง
“ท่านเป็นผู้บัญชาการที่ไม่มีประสบการณ์” เขากล่าวพร้อมทำหน้าบึ้งตึง “ท่านไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรและท่านก็จะนำทหารเหล่านี้ทุกคนเข้าสู่ความตายเป็นแน่แท้"
"ใช่" เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัสนั้นเป็นความจริง แต่ท่านสัญญาไว้ว่าจะไม่คลางแคลงในตัวข้าอีก และข้าก็จะไม่หันหลังกลับไปเจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงม้าไปด้านหน้าหลายฟุตสู่บริเวณที่สูงที่สามารถมองเห็นทหารได้ทุกคน
"ทหาร!" พระองค์ทรงตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน "ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ได้รู้จักข้าในฐานะผู้บัญชาการที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากับท่านเหมือนกับเจ้าชายเคนดริค อีเร็คและสร็อก นั่นคือความจริงที่ว่าข้าไม่ได้มีทักษะอย่างพวกเขา แต่ข้ามีหัวใจ อย่างน้อยๆ ก็ในบางโอกาส และท่านก็เช่นกัน สิ่งที่ข้ารู้คือพวกเขาเหล่านั้น พี่น้องของพวกเราถูกจับตัวไป แล้วข้าเองก็เลือกที่จะสละชีวิตมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาถูกนำตัวไปต่อหน้าต่อตา แทนที่จะกลับบ้านไปอย่างกับสุนัข กลับยังเมืองของพวกเราแล้วรอคอยพวกจักรวรรดิเข้ามาฆ่าพวกเรา ขอให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมาตามสังหารพวกเรา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่พวกเราสามารถลงไปได้ในตอนนี้ด้วยเท้าทั้งสอง ต่อสู้ไล่ล่าพวกศัตรูในฐานะของอิสระชน หรือพวกเราจะลงไปด้วยความละอายใจและไร้เกียรติ ทางเลือกเป็นของพวกท่านแล้ว จงขี่ม้าไปกับข้า มีชีวิตอยู่หรือไม่ เราจะไปด้วยกันสู่ความรุ่งโรจน์"
เสียงตะโกนจากเหล่าทหารดังตามมาเสียงดังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น มันทำให้เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงรู้สึกประหลาดใจ พวกเขายกดาบขึ้นสูง นั่นทำให้พระองค์ทรงมีกำลังใจ
มันทำให้เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงตระหนักถึงความจริงในสิ่งที่พระองค์พึ่งตรัสไป พระองค์ไม่ได้ทรงคิดคำพูดเหล่านี้ออกมาก่อน พระองค์เพียงแค่ตรัสผ่านจากความรู้สึกในช่วงหนึ่ง ขณะนี้พระองค์ทรงตระหนักแล้วว่าจะต้องยึดมั่นกับสิ่งนั้น และทรงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของพระองค์ถึง ความกล้าหาญภายในที่ทำให้พระองค์รู้สึกเกรงขาม
ขณะนี้ เหล่าทหารเคลื่อนไหวกันอย่างกระฉับกระเฉงอยู่บนม้า เตรียม อาวุธพร้อม และเตรียมตัวสำหรับการจู่โจมครั้งสุดท้ายโดยมีอะคอร์ธและฟุลตันอยู่เคียงข้างไปกับพระองค์
ดื่มกันไหม?" อะคอร์ธถาม
เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงทอดพระเนตรเห็นเขาหยิบถุงไวน์ขึ้นมา พระองค์ทรงคว้ามันมาจากมือของอะคอร์ธ และยก ขึ้นดื่มถุงแล้วถุงเล่า จนกระทั่งพระองค์เริ่มจะเมามาย เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่พระองค์แทบจะไม่หยุดพักหายใจ ในที่สุด เจ้าชายก็อดฟรีย์ก็ทรงเช็ดพระโอษฐ์และยื่นไวน์กลับมา