เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง เธอเดินหลบหลีกไปตามทางที่เต็มไปด้วยเด็กจำนวนหลายร้อยคน เมื่อเกือบถึงหน้าประตู เธอชนกับเด็กผู้หญิงตัวโตคนหนึ่งและทำสมุดบันทึกของเธอหล่น เธอหยิบมันขึ้นมา (ผมของเธอดูยุ่งเหยิง) และเงยหน้ามองดูว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะขอโทษเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นเพราะเธอเดินหายเข้าไปในฝูงชนเรียบร้อยแล้ว เคทลินได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงนั้นตรงมาที่เธอ
เธอถือสมุดบันทึกของเธอไว้แน่น มันเป็นสิ่งที่มีความหมายกับเธอ เธอจะนำสมุดบันทึกเล่มนี้ไปกับเธอทุกที่ เพื่อบันทึกเรื่องราวและวาดภาพทุกสถานที่ที่เธอไป มันคือแผนที่ชีวิตในวัยเด็กของเธอ
ในที่สุดก็มาถึงทางเข้า เธอต้องแทรกตัวเพื่อเดินผ่านเข้าไป บรรยากาศช่างเหมือนกับการเข้าสู่รถไฟในชั่วโมงเร่งด่วน เธอหวังว่าการเข้าไปด้านในจะทำให้เธออบอุ่นขึ้น แต่ลมที่พัดมาจากประตูด้านหลัง ทำให้เธอรู้สึกหนาวเข้าไปอีก
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่สองคนยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ขนาบข้างด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กสองนายในชุดแต่งกายเต็มยศ พร้อมปืนขนาบข้าง
“เดินเข้าไป!” หนึ่งในพวกเขาสั่งการ
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธต้องมายืนคุมที่ประตูทางเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย ความรู้สึกวิตกกังวลของเธอเริ่มก่อตัวขึ้น มันแย่เข้าไปอีกเมื่อเธอมองขึ้นไปและเห็นว่าเธอต้องเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะที่มีลักษณะเหมือนระบบรักษาความปลอดภัยของสนามบิน
เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธอีกสี่คนยืนอยู่คนละฝั่งของเครื่องตรวจ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสองคน
“เอาของในกระเป๋าออกมาให้หมด!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะโกนบอก
เคทลินสังเกตเห็นว่าเด็กคนอื่น ๆ นำของออกจากกระเป๋าแล้วใส่ลงไปในกล่องพลาสติกเล็ก ๆ เธอทำเช่นเดียวกันอย่างรวดเร็ว เธอใส่ไอพอด กระเป๋าสตางค์ และกุญแจของเธอลงไปในนั้น
เธอแทรกตัวผ่านเครื่องตรวจ และเสียงเตือนก็ดังขึ้น
“เธอ!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตะคอกออกมา “ออกไปด้านข้าง!”
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด
เด็กทุกคนจ้องมาที่เธอซึ่งถูกบังคับให้ยกแขนขึ้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้เครื่องค้นหาโลหะไล่ขึ้นลงไปตามร่างกายของเธอ
“เธอใส่เครื่องประดับรึเปล่า”
เธอสำรวจข้อมือและคอของเธอ แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไม้กางเขนของเธอ
“ถอดมันออกมา” เจ้าหน้าที่ตะคอกใส่
มันคือสร้อยคอของคุณย่าที่ให้เธอไว้ก่อนจะจากไป ไม้กางเขนเงินขนาดเล็ก สลักด้วยคำในภาษาลาติน ซึ่งเธอไม่เคยแปลมัน คุณย่าของเธอบอกว่าไม้กางเขนนี้ถูกส่งต่อกันมาจากคุณย่าของเธออีกที เคทลินไม่ได้เคร่งศาสนาและเธอไม่เข้าใจนักว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร แต่เธอรู้แค่ว่ามันมีอายุหลายร้อยปี และถือว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเธอ
เคทลินนำสร้อยคอออกมาจากเสื้อของเธอ ชูไว้ในมือ แต่ไม่ได้ถอดออก
“ฉันขอไม่ถอดสร้อยออก” เธอตอบ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจ้องมาที่เธอ สายตาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
ทันใดนั้น ความสับสนวุ่นวายก็เกิดขึ้น มีเสียงตะโกนจากตำรวจซึ่งกำลังจับเด็กคนหนึ่งร่างผอมสูงและผลักเขาเข้าหากำแพง เพื่อปลดมีดขนาดเล็กจากกระเป๋าของเขา
เจ้าหน้าที่รีบเข้าไปช่วยเหลือ เคทลินจึงใช้โอกาสนี้แอบเข้าไปอยู่ในฝูงชนซึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปยังห้องโถง
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนรัฐบาลนิวยอร์ก เคทลินคิดในใจ รอดตัวแล้ว
เธอเริ่มนับถอยหลังวันที่จะสำเร็จการศึกษา
*
ทางเดินในอาคารมีขนาดกว้างขวางที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เธอไม่คิดว่ามันจะเต็มได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แออัดไปด้วยเด็ก ๆ ที่เดินไหล่ชนกัน ทางเดินนี้ต้องมีเด็กหลายพันคนอย่างแน่นอน ฝูงชนที่เต็มไปด้วยใบหน้าแผ่ขยายออกไปดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด เสียงที่สะท้อนกับกำแพงในสถานที่แห่งนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เธอต้องการใช้มือป้องหูของเธอเพื่อให้เสียงเบาลง แต่มันไม่มีพื้นที่เพียงพอแม้แต่จะยกแขนของเธอขึ้น เธอรู้สึกอึดอัดเต็มที
เสียงระฆังดังขึ้น และผู้คนเริ่มเร่งฝีเท้า
มันสายแล้ว
เธอมองดูหมายเลขห้องเรียนของเธออีกครั้งและพบว่าห้องของเธอยังอยู่อีกไกล เธอพยายามแทรกตัวผ่านฝูงชนนี้ไป แต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้ หลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุดเธอเริ่มตระหนักได้ว่าเธอต้องใช้ความรุนแรงสักหน่อย เธอเริ่มใช้ข้อศอกดันและกระแทกกลับ และแล้วเธอก็สามารถเดินผ่านเด็กเหล่านี้ที่อยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ เธอผลักประตูอันหนักอึ้งไปยังห้องเรียนของเธอ
เธอตั้งสติกับสิ่งที่เธอจะต้องเจอ เธอเป็นนักเรียนใหม่ที่เข้าชั้นเรียนสาย ครูจะต้องดุเธอแน่นอนที่รบกวนห้องเรียนอันเงียบสงบนี้ แต่เธอต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เธอจินตนาการเลย ห้องเรียนนี้ออกแบบมาสำหรับนักเรียน 30 คน แต่ในห้องมีนักเรียนประมาณ 50 คนที่อัดแน่นกันอยู่ เด็กบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ บางคนกำลังเดินไปมาและตะโกนด่าทอใส่กัน มันคือความโกลาหล
เสียงระฆังเข้าชั้นเรียนดังเมื่อห้านาทีที่ผ่านมา แต่คุณครูที่ผมเผ้าพะรุงพะรัง ใส่สูทยับยู่ยี่ ไม่มีแม้แต่ท่าทีที่จะเริ่มทำการสอน เขานั่งวางเท้าไว้บนโต๊ะ กำลังอ่านหนังสือ และไม่สนใจใครทั้งนั้น
เคทลินเดินไปหาเขาและวางบัตรประจำตัวใหม่ของเธอบนโต๊ะ เธอยืนอยู่ที่นั่นและรอให้เขาเงยหน้าขึ้น แต่เขาไม่ก็มอง
ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกไป
“ขอโทษนะคะ”
เขาวางหนังสือพิมพ์ลงอย่างไม่เต็มใจ
“ฉันชื่อ เคทลิน เพน ฉันเป็นนักเรียนใหม่ ฉันคิดว่าฉันคงต้องให้สิ่งนี้กับคุณ”
“ฉันแค่มาแทน” เขาตอบ และยกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านต่อ
เธอยืนอยู่ที่นั่น รู้สึกสับสน
“คือว่า” เธอถาม “...คุณไม่ได้สอนชั้นเรียนนี้หรอ?”
“ครูของเธอจะกลับมาวันจันทร์” เขาตอบกลับ “เขาจะจัดการเอง”
เมื่อรู้ตัวว่าการสนทนาจบลงแล้ว เคทลินจึงเอาบัตรประจำตัวของเธอกลับมา
เธอหันหลังกลับและมองไปในชั้นเรียน ความโกลาหลยังคงอยู่ แต่พอจะทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีใครจับตาดูเธอ ไม่มีใครในห้องนี้สนใจเธอเลย ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นเธอ
ในทางกลับกัน เมื่อมองไปยังห้องเรียนที่แออัด มันช่างชวนประสาทเสีย ดูเหมือนจะไม่มีที่นั่งเหลืออยู่แล้ว
เธอสูดหายใจและถือสมุดบันทึกของเธอไว้แน่น แล้วเดินไปตามช่องทางเดิน เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเดินอยู่ระหว่างเด็กเกเรที่กำลังตะโกนใส่กัน เมื่อเธอเดินไปถึงหลังห้อง ในที่สุดเธอก็สามารถมองเห็นห้องเรียนทั้งหมดได้
ไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว
เธอยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนคนโง่ และรู้สึกว่าเด็กคนอื่น ๆ เริ่มจะสังเกตเห็นเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการที่จะยืนอยู่ตรงนั้นตลอดชั่วโมงการสอน และครูที่มาแทนดูเหมือนจะไม่สนใจเธอเลย เธอมองหาที่นั่งอีกครั้ง มองหาอย่างไร้ความหวัง
เธอได้ยินเสียงคนหัวเราะจากทางเดินที่ห่างออกไปเล็กน้อย และแน่ใจว่าเสียงนั้นตรงมาที่เธอ เธอไม่ได้แต่งตัวเหมือนเด็กพวกนี้ และเธอดูไม่เหมือนพวกเขา แก้มของเธอเริ่มแดงจากการที่เธอถูกจับตามอง
เธอพร้อมที่จะเดินออกไปจากชั้นเรียน และอาจจะออกจากโรงเรียนแห่งนี้ แต่เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ตรงนี้”
เธอหันกลับไป
เสียงดังมาจากแถวสุดท้ายริมหน้าต่าง เด็กผู้ชายตัวสูงยืนขึ้นจากโต๊ะของเขา
“มานั่งนี่สิ” เขาพูด “มาเถอะ”
ภายในห้องเรียนเงียบขึ้นเล็กน้อย เด็กคนอื่น ๆ กำลังรอดูว่าเธอจะตอบกลับอย่างไร
เธอเดินตรงไปที่เขา พยายามที่จะไม่มองดวงตากลมโตสีเขียวเป็นประกายของเขา แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะมอง
เขาดูสง่างาม เขามีผิวสองสีที่เรียบเนียน เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นชาวผิวสี ชาวสเปน ชาวผิวขาวหรือผสม แต่เธอไม่เคยเห็นผิวที่เรียบเนียนและอ่อนนุ่มเช่นนี้มาก่อน พร้อมด้วยแนวกรามที่ได้รูป ผมของเขาสั้นและสีน้ำตาล รูปร่างผอม มันมีบางอย่างเกี่ยวกับเขา บางอย่างที่ดูผิดที่ผิดทาง เขาดูเปราะบาง เขาคงจะเป็นพวกศิลปิน
มันไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ถูกผู้ชายจีบ เธอเคยเห็นเพื่อนของเธอหลงรักใครคนหนึ่ง แต่เธอก็ไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งตอนนี้
“แล้วเธอจะนั่งที่ไหน?” เคทลินถาม
เธอพยายามควบคุมน้ำเสียงของเธอ แต่ก็ฟังดูไม่ค่อยปกตินัก เธอหวังว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอตื่นเต้นมากแค่ไหน
เขายิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันที่สมบูรณ์แบบ
“ตรงนี้ไง” เขาบอก และย้ายไปนั่งบนขอบธรณีหน้าต่างบานใหญ่ ห่างออกไปไม่กี่ฟุต
เธอมองไปที่เขา และเขามองกลับมา สายตาของพวกเขาไม่อาจละออกจากกัน เธอบอกตัวเองให้มองไปทางอื่น แต่ก็ไม่สามารถทำได้
“ขอบใจนะ” เธอพูดออกมา และรู้สึกโมโหตัวเองทันที
ขอบใจ? นั่นคือทั้งหมดที่ฉันพูดได้หรอ? ขอบใจเนี่ยนะ!?
“ทำถูกแล้ว บารัค!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น “ยกที่นั่งของนายให้กับสาวน้อยผิวขาวผู้แสนดี!”
เสียงหัวเราะตามมา และความวุ่นวายก็กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ทุกคนไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว
เคทลินเห็นเขาก้มหน้าอย่างเขินอาย
“บารัค?” เธอถาม “นั่นคือชื่อของเธอหรอ?”
“เปล่า” เขาตอบกลับหน้าแดง “นั่นคือชื่อที่พวกเขาเรียกฉัน พวกเขาคิดว่าฉันเหมือนโอบาม่า”
เธอมองเขาใกล้ ๆ และสังเกตเห็นว่าเขาดูเหมือนจริง ๆ
“เพราะว่าฉันเป็นลูกครึ่งผิวดำกับผิวขาวและมีเชื้อสายเปอร์โตริโก”
“หรอ ฉันคิดว่านั่นเป็นคำชมนะ” เธอบอก
“มันไม่ใช่ในแบบที่พวกเขาพูดออกมา” เขาตอบ
ในขณะที่เขานั่งอยู่บนขอบธรณีหน้าต่าง เธอสังเกตเห็นว่าความมั่นใจของเขาลดลง และเธอสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนอ่อนไหว อ่อนแอ เขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเด็กพวกนี้ นี่มันบ้าชัด ๆ แต่เธอรู้สึกอยากปกป้องเขา
“ฉันชื่อ เคทลิน” เธอพูด พร้อมยื่นมือของเธอและมองไปที่ดวงตาของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมอง ประหลาดใจและยิ้มกลับ
“โจนาห์” เขาตอบ
เขาจับมือของเธอแน่น ความรู้สึกวูบวาบแผ่ไปตามแขนของเธอ เธอสัมผัสได้ถึงผิวอันเรียบเนียนของเขาที่กำลังห่อหุ้มมือของเธอ เธอรู้สึกเหมือนเธอถูกหลอมละลายไปในตัวของเขา เขาจับมือของเธอนานเกินไป และเธอยิ้มตอบอย่างช่วยไม่ได้
*
ช่วงเวลาที่เหลือของช่วงเช้าไม่ค่อยมีอะไร และเคทลินรู้สึกหิวเมื่อเธอมาถึงโรงอาหาร เธอเปิดประตูบานคู่และต้องผงะกับห้องขนาดมหึมา เสียงดังเซ็งแซ่จากเด็กที่ดูเหมือนจะมีหลายพันคน ทั้งหมดกำลังแผดเสียง บรรยากาศเหมือนกำลังเข้าไปในโรงยิม เพียงแต่ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ทุกยี่สิบฟุตในทางเดิน คอยเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง