ในขณะที่เดินไปท่ามกลางความเงียบ เคทลินรู้สึกกังวลใจ เธอเดาว่าคาเลปกำลังรอเวลาที่เหมาะสมในการเลือกคำพูดของเขาอย่างระมัดระวัง เพื่อบอกเธอว่าเขาต้องไป เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตของเธอ
“ฉันขอโทษจริง ๆ” ในที่สุดเธอก็พูดออกมาอย่างนุ่มนวล “สำหรับสิ่งที่ทำลงไป ฉันเสียใจ ฉันสูญเสียการควบคุม”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เจ้ากำลังเรียนรู้ และเจ้าแข็งแกร่งมาก”
“ฉันขอโทษที่น้องชายของฉันทำตัวแบบนั้น”
เขายิ้ม “ถ้าจะมีสิ่งใดที่ข้าได้เรียนรู้ในหลายศตวรรษมานี้ นั่นคือการที่เจ้าไม่สามารถควบคุมครอบครัวของเจ้าได้”
ทั้งคู่เดินต่อไปในความเงียบ เขามองออกยังที่แม่น้ำ
“แล้ว?” ในที่สุดเธอถาม “จะทำยังไงต่อไป?”
เขาหยุดและมองมาที่เธอ
“คุณจะไปเหรอ?” เธอถามอย่างลังเล
เขาดูเหมือนกับกำลังคิด
“เจ้าคิดว่ามีที่ใดที่พ่อของเจ้าอาจจะอยู่หรือไม่?” มีใครที่รู้จักเขาอีกบ้าง? อะไรก็ได้?”
เธอพยายามแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีเลยจริง ๆ เธอส่ายหัวออกมา
“มันต้องมีอะไรสักอย่าง” เขาพูดอย่างเน้นย้ำ “คิดดูให้ดี ความทรงจำของเจ้า เจ้าไม่มีความทรงจำเลยหรือ?”
เคทลินคิดทบทวนอย่างหนัก เธอหลับตาลง พยายามนึกถึงความทรงจำในอดีต เธอถามตัวของเธอเองด้วยคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเคยเห็นพ่อของเธอหลายครั้งในความฝัน ซึ่งเธอไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าสิ่งไหนคือความฝันและสิ่งไหนคือความจริง เธอสามารถบรรยายความฝันนั้นได้ ความฝันครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอมองเห็นพ่อ มันมักจะเป็นความฝันเดียวกันเสมอ เธอวิ่งออกไปในทุ่งหญ้า มองเห็นพ่ออยู่ในระยะไกล เมื่อเธอเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น แต่นั่นกลับไม่ใช่พ่อ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน
ภาพบางอย่างผ่านเข้ามา ความทรงจำในวัยเด็ก เธอไปกับพ่อที่ไหนสักแห่ง สถานที่แห่งหนึ่งในช่วงฤดูร้อน เธอจำได้ว่าเป็นมหาสมุทร บรรยากาศที่อบอุ่น อบอุ่นมาก แต่อีกครั้งที่เธอไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงหรือไม่ เรื่องราวดูไม่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเธอไม่สามารถจำได้ว่าชายหาดแห่งนี้อยู่ที่ไหน
“ฉันขอโทษ” เธอพูด “ฉันหวังว่าจะนึกอะไรออกบ้างที่พอจะเป็นประโยชน์กับคุณ แต่ไม่มีเลย ฉันไม่รู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน และฉันไม่รู้ว่าจะหาพ่อพบได้อย่างไร”
คาเลปหันกลับไป เขาถอนหายใจออกมา จ้องมองออกไปยังน้ำแข็งที่อยู่ในแม่น้ำ ดวงตาของเขาเปลี่ยนสีอีกครั้ง ลัครั้งนี้เป็นสีเทา
เคทลินรู้สึกว่าเวลานั้นได้มาถึงแล้ว เขาจะหันกลับมาและบอกเธอว่าเขากำลังจะจากไป เธอไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาอีกต่อไปแล้ว
เธอเกือบจะบางอย่างลงอไป การโกหกเกี่ยวกับพ่อของเธอ เบาะแสบางอย่าง เพียงเพื่อให้เขาอยู่กับเธอ แต่เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
เธอรู้สึกเหมือนจะร้องไห้
“ข้าไม่เข้าใจ” คาเลปพูดอย่างนุ่มนวล สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่แม่น้ำ “ข้ามั่นใจว่าเจ้าคือผู้ถูกเลือก”
เขาจ้องมองออกไปในความเงียบ เวลายาวนานราวกับหลายชั่วโมงผ่านพ้นไป
“และยังมีอะไรบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ” เขาพูดออกมา และหันมามองที่เธอ ดวงตากลมโตของเขาเหมือนกำลังสะกดจิตเธอ
“ข้ารู้สึกบางอย่างเมื่ออยู่ใกล้เจ้า ข้ารู้สึกเหมือนถูกบดบัง กับผู้อื่นข้าสามารถมองเห็นชีวิตที่เคยใช้ร่วมกันเสมอ ทุกครั้งที่เส้นทางของพวกเราบรรจบกัน ในภพชาติหนึ่ง แต่กับเจ้า…มันมัวหมอง ข้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลย ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นกับข้ามาก่อน เหมือนกับ…ข้ากำลังถูกกีดกันจากการมองเห็นอะไรบางอย่าง”
“บางทีพวกเราอาจไม่เคยพบกัน” เคทลินตอบ
เขาส่ายหัว
“ข้าจะต้องเห็นสิ่งนั้น กับเจ้าทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเส้นทาง หรือสามารถมองเห็นอนาคตของเราร่วมกัน และนั่นไม่เคยเกิดขึ้นกับข้ามาก่อน ไม่เคยเลย ในระยะเวลา 3,000 ปี ข้ารู้สึกเหมือน…ข้าจดจำเจ้าได้ด้วยเหตุผลบางประการ ข้ารู้สึกเหมือนเกือบจะเห็นทุกอย่าง มันอยู่ที่ปลายจิตของข้า แต่มันไม่ปรากฏออกมา และมันทำให้ข้าว้าวุ่นใจ”
“ถ้าเช่นนั้น” เธอพูด “บางทีมันอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ บางทีมันก็แค่ที่นี่ในตอนนี้ มันอาจไม่เคยมีอะไรมากไปกว่านี้ และบางทีมันก็แค่ไม่เคยมีอะไรเลย”
ทันใดนั้นเธอรู้สึกเสียใจกับคำพูดของเธอ เธอทำลงไปอีกแล้ว การเผลอปากพูดเรื่องโง่ ๆ ที่เธอไม่ได้ตั้งใจ ทำไมเธอต้องพูดแบบนั้น? มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอกำลังคิด กำลังรู้สึก เธอต้องการพูดออกไปว่า ใช่ ฉันก็รู้สึกแบบนั้น ฉันรู้สึกเหมือนเคยอยู่กับคุณมาตลอดกาล และฉันจะอยู่กับคุณตลอดไป แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น มันกลับผิดพลาดไปหมด อาจเป็นเพราะเธอกังวลใจเกินไป และตอนนี้เธอไม่สามารถกลับคำพูดของเธอได้
แต่คาเลปไม่ได้รู้สึกสั่นคลอน เขากลับก้าวเข้ามาใกล้ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น และบรรจงวางลงบนแก้มของเธออย่างช้า ๆ ปัดเส้นผมของเธอไปข้างหลัง เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเคทลินอย่างลึกซึ้ง เธอมองเห็นดวงตาของเขาเปลี่ยนสีอีกครั้ง ครั้งนี้จากสีเทาเป็นสีน้ำเงิน สายตาคู่นั้นจับจ้องมองมาที่เธออย่างมีความหมาย ความสัมพันธ์ที่กำลังเอ่อล้นา
หัวใจของเธอเต้นรัว ความร้อนมหาศาลสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะละลาย
เขากำลังพยายามเก็บเธอไว้ในความทรงจำเหรอ? หรือเขากำลังจะบอกลา?
หรือว่าเขากำลังจะจูบเธอ?
บทที่สี่
สิ่งที่ไคล์เกลียดมากกว่ามนุษย์ คือนักการเมือง เขาไม่สามารถทนต่อท่าทางของพวกนักการเมือง การเสแสร้ง ความคิดที่ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก เขาไม่สามารถทนต่อความดื้อรั้น และการอ้างอิงจากความว่างเปล่า พวกนักการเมืองส่วนใหญ่มีอายุแค่เกือบ 100 ปี ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่มานานกว่า 5,000 ปีแล้ว เมื่อนักการเมืองพูดคำว่า “ประสบการณ์ในอดีต” ของพวกเขา มันทำให้ไคล์ทนไม่ได้
โชคชะตาทำให้ไคล์ต้องมาเดินชนไหล่กับพวกเขา เขาต้องเดินผ่านพวกนักการเมืองเหล่านี้ทุกคืน เมื่อเขาลุกขึ้นมาจากการหลับใหลและออกไปสู่พื้นดิน เขาต้องผ่านที่ชุมนุมของศาลากลาง กลุ่มแบล็กไทด์ได้ตั้งมั่นที่อยู่อาศัยลึกลงไปใต้ศาลากลางของเมืองนิวยอร์กมานานหลายศตวรรษ และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองเสมอมา อันที่จริงกลุ่มนักการเมืองที่อยู่ในห้องนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมาชิกลับของกลุ่มแบล็กไทด์ ไคล์ดำเนินแผนการของเขาแผ่ขยายออกไปทั่วเมืองและทั่วทั้งรัฐ การคลุกคลี และการทำธุรกิจกับมนุษย์ มันคือปีศาจในคราบนักการเมือง
แต่นักการเมืองที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ก็มีจำนวนมากเพียงพอที่จะทำให้ผิวของไคล์รู้สึกขยะแขยง เขาทนไม่ได้ที่ปล่อยให้พวกมนุษย์เข้ามาเพ่นพ่านในอาคารแห่งนี้ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เกินไป ในขณะที่ไคล์เดินไป เขาตะแคงไหล่เพื่อแทรกตัวและกระแทกเข้าอย่างแรง “เฮ้ย!” ผู้ชายตะโกนขึ้น แต่ไคล์เดินต่อไป เขาขบกรามและมุ่งหน้าไปยังประตูบานคู่ขนาดใหญ่ที่จุดสิ้นสุดของทางเดิน
ไคล์จะฆ่าพวกเขาให้หมดถ้าเขาสามารถทำได้ แต่เขาไม่ได้รับอนุญาต กลุ่มของเขายังคงต้องทำงานภายใต้สภาสูงสุด และด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พวกเขายังคงยับยั้งเอาไว้ กำลังรอเวลาที่จะกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซาก ไคล์เฝ้ารอมานานนับพันปีแล้ว และเขาไม่รู้ว่าจะทนรอได้อีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่เขาจะได้รับไฟเขียว ในปี 1350 ตอนที่กลุ่มของเขาได้รับฉันทามติ และทำการแพร่กระจายเชื้อกาฬโรคในยุโรปด้วยกัน นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไคล์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเขานึกถึงเรื่องนั้น
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นที่เป็นช่วงเวลาดี ๆ อยู่บ้าง – เช่นในยุคมืด เมื่อพวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำสงครามเต็มรูปแบบทั่วยุโรป การเข่นฆ่าและการทำลายผู้คนนับล้าน ไคล์ยิ้มกว้าง สิ่งเหล่านั้นคือศตวรรษแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
แต่ในช่วงหลายร้อยปีให้หลังมานี้ สภาสูงสุดเริ่มอ่อนแอลงมาก น่าสมเพชที่สุด ราวกับว่าพวกเขากำลังเกรงกลัวมนุษย์ สงครามโลกครั้งที่สองก็ดีเหมือนกัน แต่ถูกจำกัดขอบเขต และสั้นเกินไป เขาต้องการมากกว่านั้น นับตั้งแต่นั้นมาไม่มีโรคระบาด ไม่มีสงครามที่แท้จริงเลย เหมือนกับเผ่าพันธุ์แวมไพร์ทั้งหมดกลายเป็นอัมพาต หวาดกลัวต่อจำนวนและพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กำลังเติบโตขึ้น
ในที่สุด เวลาที่เหมาะสมก็ใกล้เข้ามา ไคล์ก้าวย่างไปยังประตูเบื้องหน้า ลงบันไดและออกจากศาลากลาง เขาสาวเท้าก้าวยาวขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็ว เขาเฝ้ารอการเดินทางไปยังท่าเรือเซาท์สตรีท สิ่งของขนาดใหญ่รอเขาอยู่ ลังนับหมื่นที่บรรจุเชื้อกาฬโรคที่ได้รับการเปลี่ยนพันธุกรรมอย่างดี พวกเขาเก็บเอาไว้ในยุโรปมาเป็นเวลาหลายร้อยปี มันได้รับการรักษาไว้อย่างดีนับตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งสุดท้าย ตอนนี้พวกเขาได้ดัดแปลงให้เชื้อโรคสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทั้งหมดจะเป็นของไคล์ เพื่อทำในสิ่งที่เขาต้องการ เพื่อปลดปล่อยสงครามครั้งใหม่ในทวีปอเมริกา และในอาณาเขตของเขา
เขาจดจ่อกับช่วงเวลานี้มานานหลายศตวรรษแล้ว
ความคิดนี้ทำให้ไคล์หัวเราะออกมาเสียงดัง แม้ว่าการแสดงสีหน้าและเสียงหัวเราะของเขาจะดูเหมือนขู่คำรามซะมากกว่า
เขาต้องไปรายงานเรื่องนี้กับ เร็กเซียส ผู้นำกลุ่มของเขา แน่นอนว่ามันก็แค่พิธีการ ในความเป็นจริง เขาจะเป็นคนนำ แวมไพร์นับพันในกลุ่มของเขา…และกลุ่มในละแวกใกล้เคียงทั้งหมด…จะต้องยอมรับเขา เขาจะมีพลังอำนาจมากกว่าที่เคยมีมา
ไคล์คิดไว้แล้วว่าเขาจะปล่อยเชื้อโรคร้ายนี้อย่างไร เขาจะทำการแพร่กระจายในสถานีเพนน์ แกรนด์เซ็นทรัล และไทม์สแควร์ ทั้งหมดจะดำเนินการในเวลาที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน นั่นจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาคาดการณ์ว่าภายในไม่กี่วัน ผู้คนครึ่งหนึ่งของแมนฮัตตันจะต้องติดเชื้อ และภายในหนึ่งสัปดาห์ทุกคนจะได้รับเชื้อ โรคระบาดนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และด้วยวิธีการเพาะสายพันธุ์ มันจะกระจายไปตามอากาศ
มนุษย์ที่น่าสมเพชจะปิดกั้นเมือง ปิดสะพานและอุโมงค์ ปิดการจราจรทางอากาศและทางเรือ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ พวกมนุษย์จะปิดกั้นตัวเองอยู่ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัวที่กำลังจะตามมา พวกเขาจะถูกขังอยู่ในการล้มตายจากโรคระบาด ไคล์และเหล่าสมุนนับพันของเขาจะปลดปล่อยสงครามแวมไพร์ที่ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์หน้าไหนเคยเห็นมาก่อน ภายในไม่กี่วัน พวกเขาจะกวาดล้างชาวนิวยอร์กให้ราบคาบ