มันสายไปแล้ว ถ้าเธอเลือกใช้คำพูดอื่น บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างจากตอนนี้
เธอรู้สึกโกรธ โกรธพวกโคลแมน โกรธเด็กผู้ชายทั้งหมดในโรงนาแห่งนี้ที่กำลังนั่งอยู่รอบ ๆ โซฟาตัวเก่า บนเก้าอี้ และกองฟาง พวกเขาตั้งวงดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ทำอะไรเลยกับชีวิต พวกเขามีอิสระที่จะทำแบบนี้กับชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะลากแซมเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แซมดีกว่าเด็กพวกนี้ เขาเพียงแค่ไม่มีคนชี้แนะ ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ไม่เคยได้รับความเมตตาจากแม่ เขาเคยเป็นเด็กที่ดีมากคนหนึ่ง และเธอรู้ว่าเขาสามารถเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนได้ ถ้าเขาไม่ต้องเจอกับการย้ายบ้าน แต่บางทีมันก็สายเกินไป เขาเพียงแค่เลิกที่จะสนใจ
เธอเดินเข้าไปใกล้ “แซม?” เธอถาม
เขาเพียงแค่จ้องกลับมา โดยไม่พูดอะไร
มันยากที่จะบอกได้ว่าอะไรอยู่ในสายตาของเขา ยาเสพติด? หรือเขาเพียงแค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ? หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่สนใจเลย?
ท่าทางเฉยเมยของเขาทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าสิ่งใด เธอคิดว่าเขาจะมีความสุขที่พบเธอ ลุกขึ้นมาและกอดเธอ ไม่ใช่แบบนี้ ดูเหมือนเขาไม่สนใจเลย ราวกับว่าเธอคือคนแปลกหน้า หรือเขาเพียงแค่เก๊กท่าต่อหน้าเพื่อน? หรือครั้งนี้เธอทำให้ทุกอย่างพังลง?
หลายวินาทีผ่านไป ในที่สุดเขาก็มองไปทางอื่น เขายื่นบ้องกัญชาให้เพื่อนอีกคน มองไปที่เพื่อนของเขา และไม่สนใจเธอ
“แซม!” เธอพูด เสียงดังมากขึ้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ “ฉันกำลังพูดกับนายอยู่นะ!”
เคทลินได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากเพื่อนของแซม คลื่นความโกรธกำลังก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ เธอรับรู้ได้ถึงบางอย่าง สัญชาตญาณของสัตว์ ความโกรธของเธอเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาจนแทบจะไม่สามารถควบคุมได้ เธอกลัวว่าในไม่ช้ามันจะล้ำเส้น ความรู้สึกที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป และการกลายเป็นสัตว์
เด็กผู้ชายเหล่านี้ตัวใหญ่ แต่พลังที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นประสาทบอกว่าเธอสามารถจัดการพวกเขาได้ภายในพริบตา เธอกักเก็บความโกรธของเธอได้อย่างยากลำบาก และเธอหวังว่าเธอจะเข้มแข็งกว่านี้เพื่อทำให้ได้
ในขณะเดียวกัน ร็อตไวเลอร์ส่งเสียงขู่ดังขึ้น มันค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเธออย่างช้า ๆ ราวกับมันสามารถรับรู้ได้ว่าบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
มืออันอ่อนโยนวางลงบนไหล่ของเธอ คาเลปคงสัมผัสได้ถึงความโกรธของเธอที่กำลังก่อตัวขึ้น สัญชาตญาณของสัตว์ เขาพยายามทำให้เธอสงบลง เพื่อบอกให้เธอควบคุมตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวของเธอถูกครอบงำ เขาทำให้เธอรู้สึกมั่นใจ แต่มันไม่ง่ายเลย
ในที่สุดแซมก็หันมา เขามองดูเธอด้วยแววตาที่แข็งขืน เห็นได้ชัดว่าเขายังคงโกรธ
“เธอต้องการอะไร?” เขาตะคอก
“ทำไมเธอไม่ไปโรงเรียน?” เป็นสิ่งแรกที่เธอได้ยินตัวเองพูด เธอไม่แน่ใจนักว่าทำไมเธอถึงพูดเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอมีเรื่องราวมากมายต้องการถามเขา แต่คำพูดของเธอคือสัญชาตญาณความเป็นแม่ มันคือความห่วงใยที่แสดงออกมา
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น ความโกรธของเธอเพิ่มมากขึ้น
“แล้วเธอจะมาสนใจทำไม?” เขาพูด “เธอเป็นคนบอกให้ฉันไป”
“ฉันขอโทษ” เธอพูด “ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
เธอดีใจที่มีโอกาสได้พูดออกไป
แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นไม่ได้มีอิทธิพลต่อเขา เขาเพียงแค่จ้องกลับมา
“แซม ฉันต้องการคุยกับเธอ แบบส่วนตัว” เธอพูด
เธอต้องการพาเขาออกจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ออกไปสู่อากาศบริสุทธิ์ เพื่อให้เธอและแซมสามารถพูดกันอย่างจริงจังตามลำพัง เธอไม่เพียงแค่ต้องการรู้เรื่องของพ่อ แต่เธออยากคุยกับเขา การคุยกันแบบพี่น้อง และเธอต้องการแจ้งข่าวเกี่ยวกับแม่
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ตอนนี้เธอสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเรื่องราวกำลังเลวร้ายมากขึ้น พลังงานในโรงนาที่เนืองแน่นนี้มืดมนและรุนแรงเกินไป เธอรับรู้ได้ว่าตัวของเธอกำลังสูญเสียการควบคุม แม้ว่าจะมีมือของคาเลปอยู่ เธอเพียงแค่ไม่สามารถหยุดยั้งอะไรก็ตามที่กำลังจะครอบงำเธอ
“ฉันมาตั้งต้นที่นี่” แซมพูด
เธอได้ยินเสียงหัวเราะในหมู่เพื่อนของแซมดังมากขึ้น
“ทำไมเธอไม่ผ่อนคลายหน่อยล่ะ?” หนึ่งในเด็กผู้ชายพูดกับเธอ “เธอดูหงุดหงิดมากเกินไป นั่งลงก่อน ลองดูซะหน่อย”
เขาถือบ้องกัญชายื่นให้เธอ
เธอหันหน้ามาและจ้องไปที่เขา
“ทำไมแกไม่ยัดบ้องนั่นเข้ารูตูดของแกล่ะ?” เธอได้ยินตัวเองกัดฟันพูด
เสียงแทรกดังออกมาจากกลุ่มของเด็กผู้ชาย “อ้าว วอนซะแล้ว” หนึ่งในพวกเขาตะโกน
เด็กผู้ชายที่ยื่นบ้องกัญชาให้เธอ ร่างกายกำยำ ตัวโต เขาเป็นคนที่เคยอยู่ในทีมฟุตบอล หน้าของเขาแดงก่ำ
“พูดว่าไงนะ นังตัวดี” เขาพูดพร้อมยืนขึ้น
เธอมองขึ้นไป เขาสูงกว่าเธออย่างน้อย 6 ฟุต 6 นิ้ว เธอรับรู้ได้ว่าคาเลปจับไหล่ของเธอแน่นขึ้น เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการให้เธอสงบ หรือว่าเขากำลังโกรธ
ความตึงเครียดในห้องมาคุขึ้นอย่างรวดเร็ว
ร็อตไวเลอร์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มันอยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต และส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
“จิมโบ้ ใจเย็น ๆ” แซมพูดกับเด็กตัวโต
นั่นคือแซมที่มีใจปกป้อง ไม่ว่าจะอย่างไร เขาปกป้องเธอ “เธอก็แค่ตัวปัญหา แต่เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอยังเป็นพี่ของฉัน ดังนั้นใจเย็นหน่อย”
“ฉันตั้งใจ” เคทลินตะโกน ความโกรธทวีเพิ่มขึ้น “พวกนายคิดว่าพวกนายเท่นักเหรอ? พาน้องของฉันมาเมายา พวกนายมันก็แค่พวกไม่ได้เรื่อง พวกนายมันไม่มีที่ไป ถ้าพวกนายต้องการละเลงชีวิตของพวกนายก็ไปเลย แต่อย่าลากแซมเข้ามาเกี่ยว!”
จิมโบ้ดูโกรธมากขึ้น เขาก้าวเข้ามาด้วยท่าทีข่มขู่
“เอ้า ดูสิว่าใครมา คุณครูสาว คุณแม่คร้าบบ มาที่นี่เพื่อสั่งสอนเราว่าต้องทำอะไร!”
เสียงหัวเราะครืนดังกึกก้อง
“ทำไมแกและแฟนกะเทยของแกในห้องนี้ไม่เข้ามาหยุดฉันล่ะ!”
จิมโบ้ก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น เอื้อมมือออกไปด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่ และผลักไหล่เคทลิน
เขาทำผิดพลาดอย่างมหันต์
ความโกรธของเคทลินระเบิดออกมา เกินกว่าที่เธอจะสามารถควบคุม เสี้ยววินาทีที่นิ้วของจิมโบ้สัมผัสเธอ เธอเอื้อมมือออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า จับข้อมือของเขาและบิดกลับ เสียงกระดูกหักดังออกมา ข้อมือของเขาหัก
เคทลินยกข้อมือของเขาขึ้นสูงไปด้านหลัง และผลักเขา หน้าของเขาทิ่มลงกับพื้น
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที เขาลงไปกองกับพื้นอย่างน่าเวทนา เธอก้าวเข้ามา และวางเท้าของเธอลงบนหลังคอของเขา ตรึงเขาไว้กับพื้น
จิมโบ้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ช่วยด้วย ข้อมือฉัน ข้อมือฉัน! นังตัวดี! แกหักข้อมือของฉัน!”
แซมลุกขึ้นพร้อมกับเด็กผู้ชายทั้งหมด ต่างจ้องมองมาด้วยสายตาที่ตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตกใจจริง ๆ ที่เห็นพี่สาวตัวเล็กของเขาสามารถล้มผู้ชายตัวโตได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าเธอทำได้อย่างไร
“ขอโทษซะ” เคทลินข่มขู่จิมโบ้ เธอรู้สึกตกใจกับน้ำเสียงของเธอ เสียงจากในลำคอราวกับเสียงของสัตว์
“ขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ!” จิมโบ้ร้องตะโกนอย่างครวญคราง
เคทลินต้องการปล่อยเขาไปเพื่อให้ทุกอย่างจบลง แต่บางส่วนในจิตใจของเธอไม่สามารถทำได้ ความโกรธได้ครอบงำเธออย่างรวดเร็วและรุนแรง เธอเพียงแค่ไม่สามารถปล่อยไปได้ ความโกรธยังคงไหลเวียนอยู่ เธอต้องการฆ่าเด็กผู้ชายคนนี้โดยหาเหตุผลไม่ได้ เธอต้องการทำเช่นนั้นจริง ๆ
“เคทลิน!?” แซมร้องตะโกน เธอรับรู้ได้ถึงหวาดหวั่นในน้ำเสียงของเขา “ฉันขอร้อง!”
แต่เคทลินไม่สามารถทำได้ เธอต้องการฆ่าเด็กผู้ชายคนนี้
ทันใดนั้น เสียงคำรามดังขึ้น เธอมองเห็นสุนัขจากหางตา มันกำลังกระโจนอยู่กลางอากาศ ฟันของมันเล็งมาที่คอของเธอ
เคทลินไหวตัวทันที เธอผละออกจากจิมโบ้ ภายในการเคลื่อนไหวเดียวกัน เธอจับสุนัขเอาไว้กลางอากาศ คว้าท้องของมันทางด้านล่าง และโยนออกไป
สุนัขกระเด็นลอยไปในอากาศ ไกลออกไปเรื่อย ๆ สิบฟุต ยี่สิบฟุต แรงเหวี่ยงนั้นทำให้สุนัขลอยข้ามห้อง ทะลุกำแพงไม้ของโรงนา กำแพงแตกออกส่งเสียงดัง สุนัขร้องครางและบินลอยไป
ทุกคนในห้องจ้องมาที่เคทลิน พวกเขาตามไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ทรงพลังและความเร็วเหนือมนุษย์ ไม่สามารถอธิบายได้ พวกเขาทั้งหมดยืนตะลึงนิ่งเงียบ อ้าปากค้าง และจ้องมอง
เคทลินท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ความโกรธ ความเศร้า เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร เธอไม่ไว้ใจตัวเองอีกต่อไป เธอไม่สามารถพูดได้ เธอต้องออกมาจากที่นั่น เธอรู้ว่าแซมจะไม่ตามมา ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว
และเธอก็เช่นกัน
บทที่สาม
เคทลินและคาเลปเดินไปตามริมฝั่งของแม่น้ำอย่างช้า ๆ แม่น้ำฮัดสันฝั่งนี้ถูกปล่อยปละละเลย กระจัดกระจายไปด้วยโรงงานร้างและสถานีน้ำมันที่ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป ที่นี่ช่างอ้างว้าง แต่เงียบสงบ วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันในเดือนมีนาคม เคทลินทอดสายตาออกไป มองดูก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ก้อนน้ำแข็งค่อย ๆ แยกออกจากกัน เสียงแตกเปราะอันบอบบางดังไปทั่วบรรยากาศ เหมือนกำลังอยู่บนอีกโลกหนึ่ง ประกายแสงสะท้อนที่ดูแปลกตา ควันจาง ๆ ลอยขึ้นมา เธอปรารถนาที่จะเดินไปยังก้อนน้ำแข็งนั้นแล้วนั่งลง ปล่อยให้มันพาเธอไปที่ไหนก็ได้
ทั้งคู่เดินต่อไปท่ามกลางความเงียบ ต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเอง เคทลินรู้สึกละอายใจที่เธอแสดงความโกรธออกมาต่อหน้าคาเลป เธอละอายที่ถูกมองว่าเป็นพวกชอบความรุนแรง ซึ่งเธอไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอได้
เธอรู้สึกขายหน้าเกี่ยวกับน้องชายของเธอ การกระทำที่เขาแสดงออกมา กาสุงสิงกับพวกไม่เอาไหน เธอไม่เคยเห็นเขาทำตัวแบบนั้นมาก่อน เธอรู้สึกอายที่คาเลปต้องมาเห็น เหมือนการพาเขามาพบกับครอบครัวของเธอ เขาต้องคิดเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับเธอเป็นแน่ นั่นทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าสิ่งใด
สิ่งที่แย่ที่สุด เธอกลัวว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แซมคือความหวังเดียวของเธอในการค้นหาพ่อ เธอนึกวิธีอื่นไม่ออกอีกแล้ว ถ้าทำได้เธอก็คงจะไปพบเขาด้วยตัวของเธอเองตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา เธอไม่รู้ว่าจะบอกคาเลปอย่างไร เขาจะจากไปตอนนี้เลยหรือเปล่า? แน่นอนว่าเขาควรไป เธอไม่มีประโยชน์ต่อเขาแล้ว และเขามีดาบที่ต้องค้นหา ทำไมเขาจะต้องอยู่กับเธอด้วยล่ะ?