พระนางเกว็นโดลีนทรงแผ่พระวรกายอยู่ตรงนั้น ทรงหายใจแรง และทรงรู้สึกซาบซึ้งที่ได้มาอยู่ที่พื้นแผ่นดินอีกครั้ง ยังทรงฉงนกับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น พื้นดินนั้นเย็นยะเยือก ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ แต่อย่างไรก็ดี มันก็เป็นพื้นดินที่แข็งแรง พระนางได้หลุดออกมาจากสะพานแขวนนั่นแล้ว และยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ พวกเขาทำมันได้สำเร็จ เรื่องนี้ต้องขอบคุณอลิสแตร์
พระนางเกว็นโดลีนทรงหันไปทอดพระเนตรยังอลิสแตร์ด้วยความรู้สึกแปลกพระทัยปนกับความเคารพ พระองค์ทรงรู้สึกเกินไปกว่าความซาบซึ้งถึงการมีเธออยู่เคียงข้าง พระองค์ทรงรู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นเสมือนน้องสาวที่ไม่เคยมีมาก่อน และพระนางเกว็นทรงมีความรู้สึกว่าพระองค์ยังมิได้ทรงเริ่มเห็นพลังอันล้ำลึกของอลิสแตร์อย่างแท้จริง
พระนางเกว็นทรงคิดไม่ออกว่าจะหวนกลับไปยังดินแดนของอาณาจักรวงแหวนได้อย่างไร เมื่อทรงกระทำภารกิจที่นี่เสร็จลงแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะสามารถตามหาตัวอาร์กอนจนเจอและพากันกลับ และเมื่อพระนางทอดพระเนตรไปยังกำแพงหิมะอันมโหฬาร ณ เบื้องหน้ากับทางเข้าไปยังดินแดนนีเธอร์เวิล์ด พระองค์ทรงดำดิ่งกับความรู้สึกที่ว่า อุปสรรคที่ยากที่สุดกำลังรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า
บทที่สอง
เจ้าชายรีสทรงยืนอยู่ด้านหน้าทางข้ามฝั่งตะวันออกของหุบเขาใหญ่ ทรงเกาะแน่นอยู่กับราวหินด้านข้างสะพาน ทรงทอดพระเนตรลงไปยังหน้าผาด้วยความหวาดกลัว. พระองค์ทรงแทบจะหยุดหายใจ พระองค์ไม่สามารถจะเชื่อในสิ่งที่พึ่งทอดพระเนตรเห็น ดาบแห่งโชคชะตาที่ฝังแน่นอยู่ในก้อนหินใหญ่นั้น มันได้ตกลงดำดิ่งลงไปจากขอบหน้าผา มันหมุนกลิ้งลงไปอย่างต่อเนื่อง และถูกกลืนหายไปกับหมอก
พระองค์ทรงรอคอย และทรงรอด้วยความคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงการชนของก้อนหินอย่างแรง เพื่อที่จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอยู่ภายใต้พระบาทของพระองค์ แต่พระองค์ถึงกลับต้องทรงตกตะลึงที่ไม่เคยได้ยินเสียงนั้นกลับมาเลย หรือว่าจริงๆ แล้วหุบเขาใหญ่นี้มันไม่มีที่สิ้นสุด หรือเรื่องที่เล่าลือกันมาจะเป็นเรื่องจริง?
ในที่สุด เจ้าชายรีสก็ทรงผละออกมาจากราวสะพาน ข้อพระหัตถ์กลายเป็นสีขาว ทรงถอนหายใจและทรงหันมาทอดพระเนตรยังเพื่อนร่วมกองรบหน่วยทหารยุวชน พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ตรงนั้น มีโอคอนเนอร์ เอลเด็น คอนเว่น อินดรา เซอร์น่าและคร็อกต่างพากันมองออกไปอย่างตกตะลึง พวกเขาทั้งเจ็ดคนยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ ดาบแห่งโชคชะตา ตำนานที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับมัน อาวุธที่สำคัญที่สุดในโลกที่เป็นสมบัติของพระราชา และเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ที่จะทำให้โล่พลังงานดำรงอยู่
มันเพิ่งจะหลุดออกไปจากพวกเขาเพียงแค่มือเอื้อม ตกลงไปยังโลกอันลับเลือน
เจ้าชายรีสทรงรู้สึกว่าพระองค์ทรงประสบกับความล้มเหลว พระองค์รู้สึกว่าทรงทำให้ใครๆ ต้องผิดหวังที่มันมิใช่เป็นเพียงการกระทำเพื่อธอร์เท่านั้น แต่เป็นทั้งอาณาจักรวงแหวน ทำไมพวกเขาไม่ได้ไปถึงตรงนั้นก่อน เพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น? มันห่างไปแค่เพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้นที่พระองค์จะสามารถรักษามันเอาไว้ได้
เจ้าชายรีสทรงหันไปมอง ณ ด้านที่อยู่ไกลออกไปของหุบเขาใหญ่ นั่นคือฝั่งของอาณาจักรจักรวรรดิ พระองค์ทรงพยายามทำพระทัย ใน เมื่อดาบได้สูญหายไปแล้ว พระองค์ทรงคาดว่าโล่พลังจะลดระดับลงและคาดว่าทหารจักรวรรดิทั้งหมดกำลังพากันเข้าแถวรออยู่อย่างอลหม่าน ณ อีกฝั่งหนึ่งของหุบเขานั้นจะกรูกันเข้ามายังอาณาจักรวงแหวนในทันที แต่สิ่งน่าประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อพระองค์ทรงเฝ้ามองและเห็นว่า ไม่มีพวกนั้น ไม่มีคนไหนผ่านเข้ามายังสะพานได้ ทหารคนหนึ่งลองก้าวเข้ามา แต่เขาก็ต้องพบกับจุดจบในทันที
อย่างไรก็ตาม โล่พลังยังคงใช้การได้ ซึ่งพระองค์มิอาจเข้าใจได้
"มันดูไม่มีเหตุผล" เจ้าชายรีสตรัสกับพระสหาย "ดาบแห่งโชคชะตาได้สูญหายไปจากอาณาจักรวงแหวน แล้วโล่พลังยังคงอยู่ได้อย่างไร?"
"ดาบนั่นยังไม่ได้สูญหายไปจากอาณาจักรวงแหวน" โอคอนเนอร์เสนอแนะ "มันยังไม่ข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของอาณาจักรวงแหวน มันตกตรงดิ่งลงไป แล้วคงจะติดอยู่ที่ไหนในระหว่างสองโลกนี้"
"แล้วสิ่งใดได้กลายมาเป็นโล่พลัง หากดาบไม่ได้อยู่ที่ดินแดนนี้ หรือแดนนั้น?" เอลเด็นพูดเสริมอย่างเห็นพ้อง
พวกเขาทุกคนต่างมองกันและกันด้วยความสงสัยไม่มีใครมีคำตอบ มันเป็นดินแดนที่ไม่เคยมีใครเข้าไปสำรวจ
"เราเดินจากไปเปล่าๆไม่ได้" เจ้าชายรีสตรัส "อาณาจักรวงแหวนยังคงปลอดภัย หากดาบติดอยู่ทางฝั่งเรา แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากดาบยังถูกปล่อยทิ้งไว้อยู่ข้างล่างนั่น"
"เมื่อมันไม่ได้อยู่ในการครอบครองของเรา เราก็ไม่รู้ว่ามันจะโดนนำไปอีกฝั่งหนึ่งหรือไม่" เอลเด็นกล่าวเสริมอย่างเห็นพ้อง
"มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาเสี่ยง" เจ้าชายรีสตรัส "โชคชะตาแห่งอาณาจักรวงแหวนขึ้นอยู่กับมัน เราไม่สามารถกลับไปมือเปล่าอย่างคนล้มเหลวได้"
เจ้าชายรีสหันกลับไปทอดพระเนตรยังทุกคน ทรงตัดสินพระทัยแล้ว
"เราจะต้องนำมันคืนมา" พระองค์ทรงสรุป "ก่อนที่ใครจะเอามาได้"
"นำมันกลับคืนมาหรือ?" คร็อกถามด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน "ท่านล้อเล่นหรือเปล่า? แล้วเราจะวางแผนทำการนั้นอย่างไร?"
เจ้าชายรีสทรงหันมาจ้องกลับไปยังคร็อก ผู้ซึ่งกำลังจ้องกลับมาด้วยท่าทางท้าทายอย่างที่เคย คร็อกได้กลายมาเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับเจ้าชายรีส เขาจะฝ่าฝืนคำสั่งในทุกๆ ครั้ง เขาพยายามท้าทายอำนาจของพระองค์ในทุกสถานการณ์ เจ้าชายจะรีสทรงเริ่มที่จะหมดความอดทนไปกับเขา
"ข้าจะทำมันเอง" เจ้าชายรีสทรงยืนกราน "โดยลงไปถึงข้างล่างของหุบเขานี่"
คนอื่นๆต่างอ้าปากค้าง และคร็อกก็ยกมือขึ้นมาวางบนสะโพกด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
"ท่านวิปลาสไปแล้ว" เขากล่าว "ไม่เคยมีใครลงไปถึงยังก้นบึ้งของหุบเขาใหญ่"
"ไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีก้นบึ้งอยู่หรือไม่?" เซอร์น่าเข้ามาเสริม "พวกเราทุกคนรู้ว่าดาบได้ถูกตกลงไปกับก้อนเมฆ และอาจจะกำลังดำดิ่งตกลงเรื่อยๆ ขณะที่เรากำลังพูดอยู่นี่"
"ไร้สาระ" เจ้าชายรีสทรงคัดค้าน "ทุกสิ่งจะต้องมีก้นบึ้ง แม้แต่ท้องทะเลก็ตาม"
"แล้วถึงแม้ว่ามันจะมีก้นบึ้ง" คร็อกโต้ตอบกลับมา "แล้วมันจะมีผลดีกับพวกเราอย่างไร? ถ้ามันลึกลงไปขนาดที่พวกเราไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินมัน? มันจะใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์"
"นี่ยังไม่ได้รวมถึงการไต่ลงเขาที่ไม่ธรรมดา" เซอร์น่ากล่าว "ท่านไม่เห็นหน้าผานี่หรือ?"
เจ้าชายรีสทรงหันไปสำรวจยังหน้าผา มันเป็นกำแพงหินที่ดูเก่าแก่ของหุบเขาที่บางส่วนถูกปกคลุมไว้ด้วยหมอกที่หมุนวน มันดูเหมือนเป็นทางตรงที่ดิ่งตรงลงไป พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาพูดถูก มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่กระนั้น พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น
"มันยิ่งแย่ไปกว่านั้น" เจ้าชายรีสทรงโต้ตอบ "กำแพงของหน้าผายังมีความลื่น เพราะว่าปกคลุมไปด้วยหมอก และถึงแม้ว่า เราจะลงไปถึงส่วนล่างได้ เราก็อาจจะกลับขึ้นมาไม่ได้"
พวกเขาทุกคนต่างจ้องมองมาที่พระองค์อย่างงุนงง
"ถ้าอย่างนั้น ตัวพระองค์เองก็เห็นด้วยที่ว่า มันเป็นเรื่องบ้าคลั่งที่เราจะต้องไต่ลงไป" คร็อกเอ่ย
"ข้าเห็นด้วยที่มันเป็นเรื่องบ้าคลั่ง"เจ้าชายรีสตรัส พระสุรเสียงดังก้องกังวานไปด้วยอำนาจและความเชื่อมั่น " แต่ความบ้าคลั่งคือสิ่งที่เรามีมาตั้งแต่เกิด พวกเราไม่ใช่แค่ผู้คนธรรมดา พวกเราไม่ใช่เป็นเพียงประชาชนธรรมดาของอาณาจากวงแหวน พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษ พวกเราเป็นทหาร พวกเราเป็นนักรบ พวกเราเป็นสมาชิกของกองทหารยุวชน พวกเราได้ให้คำปฏิญาณสาบานมั่น พวกเราสาบานว่าจะไม่ละทิ้งงานเพียงเพราะว่ามันยากเกินไป หรืออันตรายเกินไป ไม่เคยจะลังเลในความยากลำบากที่แม้จะมีอันตรายกับตนเอง นั่นมันเป็นเรื่องของพวกอ่อนแอที่ต้องคอยหลบซ่อน เป็นพวกขี้ขลาดที่ไม่ใช่พวกเรา นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราเป็นนักรบ มันคือแก่นแท้ของความกล้าหาญองอาจ พวกเจ้าได้พากันมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง เพราะว่า นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่มีเกียรติ หรือแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายแล้ว มันไม่ใช่ความสำเร็จที่ทำให้เรามีความกล้าหาญ แต่ความพยายามที่จะทำมันขึ้นมา ที่มันยิ่งใหญ่กว่าตัวของเราเอง นี่คือสิ่งที่พวกเราเป็น"
จากนั้น ความเงียบงันก็เข้าปกคลุม เสียดเสียดสีของลมพัดผ่านไป คนอื่นๆก็พากันไตร่ตรองถึงถ้อยคำของพระองค์
"ข้าจะไปกับเจ้าชายรีส" อินดรากล่าว
"ข้าด้วย" เอลเด็นพูดเสริม พร้อมกับก้าวเข้ามาข้างหน้า
"และตัวข้าด้วย" โอคอนเนอร์พูดเสริม พร้อมกับก้าวมาอยู่เคียงข้างเจ้าชายรีส
คอนเว่นเดินออกมาอย่าเงียบๆ เข้ามาด้านข้างของเจ้าชายรีส เขากำด้ามดาบไว้แน่นและหันหน้าเผชิญหน้ากับทุกคน "เพื่อธอร์กริน" เขากล่าว "ข้าจะไปให้ถึงสุดขอบโลก"
เจ้าชายรีสรู้สึก มีความกลางขึ้นมา เมื่อเขาได้พยายามและมีกองยุวชนทหารอยู่เคียงข้างคนพวกนี้ได้ ใกล้ชิดพระองค์ราวกับเป็นสมาชิกครอบครัวผู้ที่เสี่ยงตายกับพระองค์จนมาถึงสุดขอบอาณาจักรจักรวรรดิพวกเขาทั้งห้ายืนอยู่ตรงนั้นต่างจ้องมอง บ่าที่สมาชิกอีกสองคนคือคร็อกและ เซอร์น่า เจ้าชายรีสทรงสงสัยว่าพวกเขาจะไปด้วยกันหรือไม่ เขาก็จะมาช่วยเสริมแรงแก่พระองค์ แต่หากว่าพวกเขาต้องการจะหันหลังกลับก็ปล่อย ให้มันเป็นไปพระอืมจะไม่ตรัสซ้ำสอง
คร็อกและเซอร์น่ายืนอยู่ตรงนั้นมองจ้องกลับไปด้วยความไม่แน่ใจ
"ข้าเป็นผู้หญิง" อินดรากล่าวกับพวกเขา "พวกเจ้าล้อเลียนข้ามาก่อน แต่กระนั้น ข้าก็ยังผงาดเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายแห่งนักรบ ในขณะที่พวกเจ้าต่างก็มีมัดกล้าม แต่ทำได้เพียงแค่หยอกล้อและหวาดกลัว"
เซอร์น่าทำเสียงคำรามและรู้สึกรำคาญ เขาปัดผมยาวสีน้ำตาลไปด้านหลัง เขามีดวงตาขนาดเล็กและห่าง เขา ก้าวมาข้างหน้า
"ข้าจะไปด้วย" เขากล่าว " แต่ข้าทำเพื่อธอร์กรินเท่านั้น"
คร็อกเธอเป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเขาเป็นสีแดงและมีท่าทางแข็งขืน
"พวกเจ้าเป็นพวกโง่เง่าเสียจริง" เขากล่าว "พวกเจ้าทุกคนเลย"