มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอได้รับความแข็งแกร่งแบบนั้นได้อย่างไร? มันเป็นเพียงการสูบฉีดของอะดรีนารีนหรือเปล่า? ใจนึงเธอก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น แต่อีกใจนึงเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่ แล้วเธอเป็นอะไร?
เสียงทุบประตูห้องของเธอยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เคทลินแทบจะไม่ได้ยินมัน โทรศัพท์ของเธอวางอยู่บนโต๊ะ กำลังสั่นไม่หยุด หน้าจอขึ้นข้อความสนทนา อีเมล แชท เฟซบุ๊ก แต่เธอก็แทบจะไม่ได้ยินมันเช่นกัน
เธอยกหน้าต่างบานเล็กขึ้นและมองลงไปที่มุมของถนนอัมสเตอร์ดัม เสียงใหม่ที่ผ่อนคลายผุดขึ้นในใจของเธอ มันคือเสียงของโจนาห์ ภาพรอยยิ้มของเขา น้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม สุขุมและไพเราะ เธอนึกถึงความละเอียดอ่อนของเขา เขาช่างเป็นคนบอบบาง แล้วเธอก็เห็นภาพเขานอนอยู่บนพื้น เต็มไปด้วยเลือด เครื่องดนตรีชิ้นสำคัญของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ คลื่นแห่งความโกรธเกรี้ยวครั้งใหม่พัดเข้ามาอีกครั้ง
ความโกรธของเธอกลายเป็นความกังวล เธอกังวลว่าเขาปลอดภัยหรือไม่ ถ้าเขาเดินหนีไป ถ้าเขาสามารถกลับบ้านได้ เธอจินตนาการว่าเขากำลังเรียกเธอ เคทลิน เคทลิน
“เคทลิน?”
เสียงใหม่จากนอกประตูห้องดังขึ้นมา เสียงของเด็กผู้ชาย
เธอรู้สึกสับสน พยายามตั้งสติ
“นี่แซมเอง ให้ฉันเข้าไปหน่อย”
เธอเดินไปและพิงศีรษะลงบนประตู
“แม่ไปแล้ว” เสียงจากอีกด้านของประตูพูด “ลงไปซื้อบุหรี่ ให้ฉันเข้าไปหน่อยนะ”
เธอเปิดประตู
แซมยืนอยู่ที่นั่น จ้องมองเธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขาอายุเพียง 15 แต่เขาดูแก่กว่าอายุ เขาโตเร็ว สูงเกือบหกฟุต แต่ยังเป็นเด็กอยู่ เขาเป็นคนแปลกและงุ่มง่าม เขามีผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาลของเขานั้นคล้ายกับของเธอ พวกเขาดูเหมือนกันมาก เธอมองเห็นความกังวลบนใบหน้าของเขา เขารักเธอมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด
เธอให้เขาเข้ามาในห้องและปิดประตูอย่างรวดเร็ว
“โทษที” เธอกล่าว “คืนนี้ฉันแค่ทนแม่ไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอทั้งสองคน?”
“เรื่องปกติ แม่เริ่มหาเรื่องฉันตั้งแต่วินาทีที่ฉันเข้ามา”
“ฉันคิดว่าแม่คงเจอเรื่องหนักมาทั้งวัน” แซมพูด พยายามผูกมิตรระหว่างพวกเขาเช่นทุกครั้ง “ฉันหวังว่าเขาจะไม่ไล่แม่ออกอีก”
“ใครสนล่ะ? นิวยอร์ก อริโซน่า เท็กซัส...ใครสนว่าต่อไปจะเป็นที่ไหน? การย้ายบ้านของพวกเราไม่มีทางสิ้นสุดหรอก”
แซมขมวดคิ้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที บางครั้งเธอเองก็มีน้ำเสียงหยาบกระด้าง พูดออกไปโดยไม่ทันคิด เธอหวังว่าจะปรับบรรยากาศให้ดีขึ้น
“วันแรกของเธอเป็นยังไงบ้าง?” เคทลินถาม พยายามเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
เขายักไหล่ “ก็ดี ฉันคิดว่างั้นนะ” เขาวางเท้าลงบนเก้าอี้
เขาเงยหน้าขึ้น “แล้วพี่ล่ะ?”
เธอยักไหล่ การแสดงออกของเธอต้องมีอะไรบางอย่าง เพราะแซมยังคงจ้องอยู่ เขามองเธอไม่ละสายตา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร” เธอพูดป้องกันตัว หันหลังและเดินไปที่หน้าต่าง
เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองเธออยู่
“พี่ดู...แปลกไปนะ”
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง มองอย่างไร้จุดหมาย ผู้ชายที่อยู่ด้านนอกร้านขายของชำตรงหัวมุมกำลังยื่นถุงให้คนซื้อ
“ยังไงหรอ?”
เงียบ
“ฉันก็ไม่รู้หรอก” ในที่สุดเขาก็ตอบออกมา
เธอหยุดชะงัก สงสัยว่าเขารู้หรือไม่ สงสัยว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า เธอกลืนน้ำลาย
“ฉันเกลียดที่ใหม่นี่” เขาพูด
เธอหันกลับไปและมองเขา
“ฉันก็ไม่ชอบ”
“ฉันเคยคิดที่จะ...” เขาลดหัวต่ำลง “...หนีออกไป”
“เธอหมายความว่ายังไง?”
เขายักไหล่ให้
เธอมองหน้าเขา เขาดูเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“ไปที่ไหน?” เธอถาม
“บางที...อาจจะตามพ่อไป”
“ยังไงล่ะ? เราไม่รู้เลยว่าพ่ออยู่ไหน”
“ฉันควรลอง ฉันสามารถหาเขาได้”
“ทำยังไง?”
“ฉันไม่รู้...แต่ฉันจะลอง”
“แซม เท่าที่เรารู้เขาอาจตายไปแล้วก็ได้”
“อย่าพูดแบบนั้นนะ!” เขาโพล่งออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
“ขอโทษ” เธอพูด
เขาสงบลง
“แต่เธอเคยคิดบ้างมั้ยว่าถ้าเราเจอพ่อ พ่ออาจจะไม่ต้องการเราก็ได้ พ่อทิ้งพวกเราไป และไม่เคยคิดติดต่อกลับมาเลย”
“อาจเป็นเพราะแม่ไม่ต้องการให้พ่อกลับมา”
“หรือบางทีพ่อเพียงแค่ไม่ต้องการเรา”
แซมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในขณะที่แตะเท้าลงบนพื้น “ฉันตามหาเขาบนเฟซบุ๊ก”
ดวงตาของเคทลินเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“เธอเจอเขามั้ย?”
“ฉันไม่แน่ใจ คนที่ชื่อเหมือนพ่อมีอยู่คน 4 ในจำนวนนั้นมี 2 คนที่ตั้งเป็นส่วนตัวและไม่มีรูป ฉันส่งข้อความไปหาทั้งคู่”
“แล้ว?”
แซมส่ายหัว
“ฉันไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเลย”
“พ่อไม่น่าจะเล่นเฟซบุ๊ก”
“พี่รู้ได้ไง” เขาตอบแย้งอีกครั้ง
เคทลินถอนหายใจ เดินไปที่เตียงของเธอและเอนตัวลงนอน เธอมองไปที่เพดานสีเหลืองที่กำลังลอก และสงสัยว่าพวกเขาขึ้นไปทาสีบนนั้นได้อย่างไร เธอนึกถึงเมืองที่พวกเขาเคยอยู่กันอย่างมีความสุข ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่แม่ของเธอมีความสุขที่สุด ช่วงที่แม่กำลังคบกับผู้ชายคนนั้น อย่างน้อยเธอก็มีความสุขเพียงพอที่จะทิ้งเคทลินไว้เพียงลำพัง
เมืองที่เหมือนกับเมืองก่อนหน้านี้ ทั้งเธอและแซมสามารถสร้างเพื่อนที่ดีได้ ที่แห่งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะปักหลักอยู่จริง ๆ อย่างน้อยก็นานพอที่จะสำเร็จการศึกษา และหลังจากนั้นทุกอย่างดูเหมือนจะรวดเร็วไปหมด เธอต้องเก็บของอีกครั้ง กล่าวคำอำลา การมีชีวิตวัยเด็กเหมือนคนอื่นมันยากนักหรือ?
“ฉันควรย้ายกลับไปโอ๊กวิลล์” จู่ ๆ แซมก็พูดขึ้นมา เธอหยุดความคิดเกี่ยวกับเมืองที่แล้วของเธอ มันน่าแปลกที่เขามักจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ฉันสามารถอยู่กับเพื่อนได้”
วันนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นกับเธอ มันหนักมากเกินไป เธอคิดอะไรไม่ออก และในความสิ้นหวังนี้ สิ่งที่เธอได้ยินคือแซมพร้อมที่จะทิ้งเธอไปเช่นกัน เหมือนเขาไม่สนใจเธออีกต่อไปแล้ว
“ก็ไปสิ!” เธอตะคอกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับว่าใครคนอื่นพูดมันออกมา เธอได้ยินถึงความโกรธที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ และเธอรู้สึกเสียใจ
ทำไมเธอพูดแบบนั้นออกมา? ทำไมเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้?
ถ้าเธออยู่ในโหมดที่อารมณ์ดีกว่านี้ ถ้าเธอใจเย็นกว่านี้และไม่ได้มีเรื่องราวมากมายถาโถมเข้ามา เธอคงจะไม่พูดแบบนี้ออกไป หรือเธออาจจะพูดได้นุ่มนวลกว่านี้ เช่น ฉันรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เธอไม่เคยอยากออกไปจากที่นี่ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน เพราะเธอไม่สามารถทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง ไม่สามารถปล่อยให้ฉันเจอเรื่องพวกนี้คนเดียว ฉันรักเธอและฉันจะไม่ทิ้งเธอไปเช่นกัน ชีวิตวัยเด็กที่วุ่นวายของพวกเรา อย่างน้อยเราก็มีกันและกัน ซึ่งเธอน่าจะพูดแบบนี้ออกไปแทน อารมณ์ของเธอทำให้เธอรู้สึกแย่ มันทำให้เธอแสดงความเห็นแก่ตัว และตะคอกออกไป
เธอลุกขึ้นนั่งและมองเห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขา เธออยากถอนคำพูด เธอต้องการบอกว่าเธอเสียใจ ทุกอย่างเอ่อล้นอยู่ในจิตใจของเธอ แต่เธอไม่สามารถปริปากออกมาได้
ในความเงียบงัน แซมค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องและปิดประตูอย่างแผ่วเบา
นังโง่ เธอคิด ฉันมันโง่จริง ๆ ทำไมฉันต้องทำตัวแบบเดียวกับที่แม่ทำกับเขา?
เธอล้มตัวลงนอน มองไปยังเพดาน เธอตระหนักได้ว่ามันมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอตะคอกออกมา เขารบกวนความคิดของเธอ และอยู่ในช่วงที่พวกเขากำลังแย่ ความคิดอันมืดมนกำลังเข้ามาในใจของเธอ และเขาตัดบทเธอก่อนที่เธอจะคิดออก
สามเมืองก่อนหน้านี้ ช่วงที่แม่ของเธอดูเหมือนจะมีความสุข แฟนเก่าของแม่ชื่อ แฟรงค์ เขาอายุ 50 ปี รูปร่างเตี้ย อ้วน หัวล้าน ตัวหนาอย่างกับท่อนซุง กลิ่นเหมือนน้ำหอมราคาถูก ตอนนั้นเธออายุ 16 ปี
ในขณะที่เธอยืนอยู่ในห้องซักรีดเล็ก ๆ กำลังพับเสื้อผ้าของเธอ แฟรงค์ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู เขาดูน่ากลัว เขามองมาที่เธอ ก้มลงและหยิบชุดชั้นในของเธอที่อยู่บนพื้น เธอรู้สึกถึงความเขินอายและความโกรธ เขาชูขึ้นและแสยะยิ้ม
“เธอทำหล่น” เขาพูดและยิ้ม เธอรีบคว้ามาจากมือของเขา
“คุณต้องการอะไร?” เธอตะคอกกลับ
“นั่นคือวิธีพูดจากับพ่อเลี้ยงคนใหม่ของเธอหรอ?”
เขาใกล้เข้ามาอีกครึ่งก้าว
“คุณไม่ใช่พ่อเลี้ยงของฉัน”
“แต่ฉันกำลังจะเป็น ---- เร็ว ๆ นี้”
เธอพยายามกลับไปพับผ้าของเธอต่อ แต่เขาก้าวเข้ามาอีก มันใกล้จนเกินไป หัวใจของเธอกำลังเต้นแรงอยู่ในหน้าอกของเธอ
“ฉันคิดว่ามันถึงเวลาที่เราจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้น” เขาพูดพร้อมถอดเข็มขัดของเขาออก “เธอว่าไง?”
เธอรู้สึกหวาดกลัว พยายามจะแทรกตัวผ่านเขา เพื่อไปยังทางออกประตู แต่เมื่อเธอทำเช่นนั้น เขาปิดทางเธอ และจับเธอผลักเข้ากับกำแพง
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
ความเกรี้ยวกราดถาโถมเข้ามาหาเธอ ความโกรธในแบบที่เธอไม่เคยพบมาก่อน เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอลุกเป็นไฟ ความร้อนแผ่จากเท้าของเธอขึ้นไปสู่ศีรษะ เมื่อเขาใกล้เข้ามา เธอกระโดดและใช้เท้าสองข้างเตะไปบนหน้าอกของเขา
แม้ว่าขนาดตัวของเขาจะใหญ่กว่า ขณะนี้เขากระเด็นไปด้านหลัง ชนกับบานประตู ผ่านประตู และยังคงลอยไปต่ออีกสิบฟุต เข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง ราวกับปืนใหญ่ที่ยิงเขาทะลุบ้าน
เคทลินยืนอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นเทา เธอไม่เคยเป็นคนที่รุนแรงมาก่อน เธอไม่เคยต่อยใคร ที่สำคัญเธอไม่ได้ตัวใหญ่หรือแข็งแรง เธอรู้วิธีเตะเขาแบบนั้นได้อย่างไร? เธอมีความแข็งแรงแบบนี้ได้อย่างไร? เธอไม่เคยเห็นใครบินลอยกลางอากาศหรือทะลุประตู ความแข็งแรงของเธอมาจากไหน?