ธอร์ทรงตัวอยู่บนเขาและมือทั้งสองเขาหายใจหอบเหนื่อยพร้อมกับมีเลือดไหลออกมาจากปาก ความเจ็บปวดบริเวณซี่โครงกำลังจะฆ่าเขา ธอร์พยายามรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อลุกขึ้นยืน แต่ภาพที่ปรากฎที่ปลายหางตาของเขาคือ ภาพแอนโดรนิคัสที่ก้าวมาข้างหน้า พร้อมกับใช้มือมั้งสองยกขวานขึ้นสูง เล็งตรงมาเพื่อตัดหัวของเขาออก ธอร์เห็นมันกับตาอันแดงก่ำของตัวเองแล้วว่าแอนโดรนิคัสไร้ซึ่งความเมตตาซึ่งต่างจากที่เขามี
"ข้าน่าจะทำสิ่งนี้เมื่อสามสิบปีก่อน" แอนโดรนิคัสกล่าว
แอนโดรนิคัสปล่อยเสียงร้องแห่งการประจัญบาน เขาเหวี่ยงขวานลงมายังส่วนคอที่เปิดโล่งของธอร์
ส่วนธอร์ก็ยังคงไม่จบการต่อสู้ เขาใช้พลังงานที่มีในขุมสุดท้าย แม้จะมีอาการเจ็บปวด แต่เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แล้วรี่เข้าไปจู่โจมพ่อของเขา โดยตะครุบเขาที่ซี่โครงและดันเขาไปด้านหลัง ผลักเขาลงล้มหลังกระแทกพื้น
ธอร์คร่อมตัวอยู่ด้านบน ปล้ำต่อสู้กันด้วยมือเปล่า มันกลายมาเป็นการต่อสู้ด้วยการปล้ำ แอนโดรนิคัสเอื้อมมือมาที่ลำคอของธอร์ ธอร์ต้องตกตะลึงถึงความแข็งแกร่งของเขา ธอร์รู้สึกขาดอากาศหายใจอย่างทันทีเมื่อเขาถูกบีบคอ
ธอร์จับเข้าที่เอวอย่างดิ้นรน เพื่อเสาะหามีดสั้น มันเป็นมีดสั้นของราชวงศ์แม็คกิลที่ราชาแม็คกิลทรงประทานมันให้กับเขา ก่อนที่พระองค์ จะสวรรคต ธอร์ขาดอากาศหายใจอย่างรวดเร็ว และเขารู้ว่าหากเขายังหามันไม่เจอ เขาจะต้องตายในทันที
ธอร์พบมันจนได้ในลมหายใจเฮือกสุดท้าย เขาใช้มือทั้งสองยกดาบสั้นขึ้นสูงและฝังมันลงไปในส่วนอกของแอนโดรนิคัส
แอนโดรนิคัสสะดุ้งอ้าปากค้างพร้อมกับดวงตาที่ปูดโปน จ้องมองมาด้วยสายตาแห่งความตาย เขายังนั่งอยู่ตรงนั้นและบีบคอลูกชายอย่างต่อเนื่อง
ธอร์กำลังขาดอากาศหายใจ เขามองเห็นดวงดาวพร่างพรูและร่างของเขาอ่อนปวกเปียก
ในที่สุด อุ้งมือของแอนโดรนิคัสก็ถูกปลดออก แขนของเขาตกอยู่ด้านข้างลำตัว ดวงตาเกลือกกลิ้งไปด้านข้างและหยุดการเคลื่อนไหวใดๆ เขาล้มตัวลงนอนอยู่ตรงนั้น ตัวแข็งค้าง สิ้นชีพ
ธอร์อ้าปากหายใจหอบ เมื่อเขาชำเลืองไปเห็นมือที่ไร้กำลังของพ่อหลุดออกจากลำคอของเขา เขาลากตัวออกมาพร้อมกับไอสำลักกับอากาศ ผลักร่างไร้วิญญาณของพ่อออกไปจากตัว
ตัวของธอร์สั่นไปทั้งตัว เมื่อรู้ว่าเขาเพิ่งจะฆ่าพ่อลงไป เขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ธอร์ชำเลืองไปรอบๆ เห็นนักรบจากทั้งสองฝ่ายมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง ธอร์รู้สึกถึงคลื่นความร้อนอย่างมหาศาลไหลเวียนอยู่ทั่วทั้งร่าง ราวกับว่ามันมีอะไรหมุนเวียนเปลี่ยนไปในตัวเขา ราวกับว่าเขาได้ชำระล้างปีศาจออกจากร่าง เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงรู้สึกตัวเบาขึ้น
ธอร์ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากท้องฟ้าเสียงเหมือนกับเสียงฟ้าร้อง เมื่อเขามองขึ้นไปก็เห็นว่า มีก้อนเมฆขนาดเล็กสีดำทะมึนปกคลุมอยู่เหนือร่างของแอนโดรนิคัส และกลับกลายมาเป็นกรวยสีดำขนาดเล็กที่หมุนวนอยู่บนพื้นดิน มันดูเหมือนกับปีศาจร้าย มันหมุนวนอยู่รอบตัวของพ่อ ล้อมอยู่รอบตัวเขา มีเสียงโหยหวนดังขึ้น มันยกร่างของเขาขึ้นมาในอากาศ ยกสูงขึ้นและสูงขึ้นไป จนกระทั่งสูญหายลับตาไปในก้อนเมฆ ธอร์เฝ้ามองด้วยอาการช็อคและสงสัยว่า จิตวิญญาณของพ่อจะถูกลากไปยังนรกขุมไหน
ธอร์มองเห็นกองทัพของจักรวรรดิที่เผชิญหน้ากับเขา มันเป็นกองทัพทหารหลายหมื่นนาย พวกเขามาพร้อมกับแววตาอาฆาตแค้น แอนโดรนิคัสผู้ยิ่งใหญ่ได้ถูกสังหารแล้ว แต่กระนั้น กองทัพของเขาก็ยังคงอยู่ ธอร์และทหารทั้งหมดของอาณาจักรวงแหวนมีจำนวนน้อยกว่าศัตรอยู่ราวหนึ่งในร้อย แม้ธอร์จะชนะการดวลกัน แต่เขาก็กำลังจะพ่ายแพ้ในศึกสงครามนี้
อีเร็ค เจ้าชายเคนดริค และสร็อกกับเจ้าชายบรอนสันต่างเดินเข้ามาเคียงข้างธอร์พร้อมกับจับดาบแน่น พวกเขาทุกคนพร้อมเผชิญหน้ากับกองทัพจักรวรรดิไปด้วยกัน สัญญาณแตรถูกเป่าดังขึ้นมาจากฝั่งของจักรวรรดิ และธอร์ก็เตรียมพร้อมจะเข้าเผชิญกับการรบครั้งสุดท้าย เขารู้ว่าพวกเขามิอาจเอาชนะพวกมันได้ แต่อย่างน้อย พวกเขาทุกคนก็จะร่วมรบไปด้วยกัน รบไปพร้อมกับความรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่
บทที่ เจ็ด
เจ้าชายรีสทรงออกเดินทาง โดยมีเซลืส อิลเลพร่า เอลเด้น อินดรา โอคอนเนอร์ คอนเว่น คร็อกและเซอร์น่าร่วมทางไปกับพระองค์ พวกเขาทั้งเก้าคนออกเดินทางไปยังฝั่งตะวันตก มันเป็นเวลาล่วงเลยมาหลายชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่พวกเขาเห็นหุบเขาใหญ่ปรากฎขึ้นมา มันคงเป็นที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เจ้าชายรีสทรงทราบว่าประชาชนของพระองค์คงอยู่ตรงเส้นขอบฟ้านั่น ไม่ว่าจะเป็นหรือจะตาย พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะตามหาพวกเขาให้จงได้
เจ้าชายรีสทรงรู้สึกสะเทือนใจที่ต้องประพาสผ่านไปยังภูมิประเทศที่อยู่ในสภาพพังพินาศ ท้องทุ่งแห่งซากศพอันไม่มีวันสิ้นสุด กองพะเนิน ของสิ่งปฏิกูลจากพวกนกที่เข้ามาหากิน คราบดำเป็นตอตะโกจากเปลวเพลิงของมังกร ซากศพของทหารจักรวรรดิหลายพันนายเรียงรายเป็นสายไปจนสุดขอบฟ้า บางศพก็ยังคงมีควันครุกรุ่นอยู่ ควันจากร่างของพวกเขาลอยอบอวลไปทั่วบรรยากาศ มันเป็นกลิ่นเหม็นที่ยากจะทัดทานได้ กลิ่นเหม็นเนื้อที่ถูกเผาที่อยู่บนดินแดนที่ถูกทำลายล้าง ใครก็ตามที่ไม่ได้ถูกฆ่าจากลมหายใจของมังกรก็จะถูกสังหารจากการสู้รบจากทหารในสมรภูมิ มีทั้งทหารของแม็คกิลและแม็คคลาวด์นอนตายอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน เมืองทั้งเมืองถูกทำลายล้างและเต็มไปด้วยเศษอิฐหินปูนรวมกันเป็นกองอยู่ทั่วทุกที่ เจ้าชายรีสทรงส่ายพระเศียร ดินแดนแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์มากมาย แต่ตอนนี้มันถูกทำลายล้างไปแล้วจากสงครามที่เกิดขึ้น
ตั้งแต่พระองค์ขึ้นมาจากหุบเขาใหญ่เจ้าชายรีสและคนอื่นๆได้มุ่งมั่นที่จะกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อกลับไปยังด้านของแม็คกิลในอาณาจักรวงแหวน เมื่อพวกเขาไม่สามารถจะหาม้าเป็นพาหนะได้ พวกเขาจึงต้องเดินผ่านไปทางด้านของแม็คคลาวด์ขึ้นไปยังเมืองไฮแลนด์และลงมายังอีกด้าน ในตอนนี้และในที่สุด พวกเขาก็เดินทางผ่านเข้ามาในดินแดนของแม็คกิล ผ่านเข้ามาเห็นซากปรักหักพังและความพังพินาศ จากลักษณะภายนอกของดินแดนนี้แล้ว เห็นได้ว่าพวกมังกรได้เข้ามาช่วยจัดการทำลายกองทัพของจักรวรรดิ สำหรับเรื่องนั้นแล้ว เจ้าชายรีสทรงรู้สึกสำนึกในบุญคุณ แต่เจ้าชายรีสทรงไม่ทราบว่าพระองค์จะตามหาประชาชนของพระองค์ได้ในสภาพแบบไหน หรือว่าผู้คนทุกคนในอาณาจักรวงแหวนต่างล้มตายกันไปหมดแล้ว? จากที่ผ่านมา มันดูเหมือนว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าชายรีสทรงปรารถนาที่จะเสาะหาว่า พวกเขาทุกคนยังคงสบายดีอยู่หรือไม่
ในแต่ละครั้งที่พวกเขามาถึงสมรภูมิที่เต็มไปด้วยพวกที่ล้มตายและบาดเจ็บ อิลเลพร่าและเซลีสตรวจสอบดูศพบางพวกที่ไม่ได้ถูกเผาจากเปลวไฟของมังกร พวกนางเดินไปตรวจจากซากหนึ่งไปอีกซากหนึ่งและพลิกศพขึ้นมา นี่มิใช่เป็นเพราะการกระทำตามวิชาชีพของพวกนางเท่านั้น แต่อิลเลพร่ามีจุดมุ่งหมายอื่นอยู่ในใจ นั่นคือ เพื่อตามหาน้องชายของเจ้าชายรีส คือเจ้าชายก็อดฟรีย์ มันเป็นจุดมุ่งหมายที่นางมีร่วมกันกับเจ้าชายรีส
"พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่" อิลเลพร่าป่าวประกาศขึ้นอีกครั้ง ขณะที่นางยืนอยู่และกำลังพลิกศพสุดท้ายที่อยู่ในสนามรบอันนี้ขึ้นมา โดยใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เจ้าชายรีสทรงดูออกว่าอิลเลพร่าเป็นห่วงพระอนุชาของพระองค์มากเพียงไหนและพระองค์รู้สึกซาบซึ้งในพระทัยเจ้าชายรีสเองก็เช่นกัน พระองค์ทรงหวังว่าพระอนุชาจะสบายดีและเป็นหนึ่งในพวกที่รอดชีวิต แต่จากการเสาะหาจากซากศพจำนวนหลายพันคนนี้ พระองค์ทรงมีความรู้สึกลึกๆข้างในว่าเขาอาจจะไม่รอด
พวกเขามุ่งหน้าต่อไป ออกเดินทางไปยังสนามรบ ผ่านไปตามเนินเขาที่เรียงราย ขณะที่พวกเขาเดินทางอยู่นั้น พวกเขาก็มองเห็นสมรภูมิอีกจุดหนึ่งยังปลายเส้นขอบฟ้า ตรงนั้นมีซากศพหลายพันร่างและนอนเกลื่อนกราดอยู่ พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น
ขณะที่พวกเขาเดินไป อิลเลพร่าก็ร้องไห้อยู่อย่างเงียบๆ เซลีส จึงวางมือของนางลงที่ข้อมือของเพื่อน
"พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่" เซลีสพูดให้กำลังใจ "อย่ากังวลไปเลย"
เจ้าชายรีสทรงก้าวเข้ามาแล้ววางพระหัตถ์ลงบนไหล่ของนางเพื่อให้กำลังใจและทรงรู้สึกเห็นอกเห็นใจในตัวนาง
"ถ้ามันจะมีบางอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับน้องชายของข้า แล้วละก็" เจ้าชายรีสตรัส "เขาเป็นคนที่เอาตัวรอด เขาหาทางออกได้กับทุกเรื่อง แม้แต่ความตาย ข้าให้สัญญากับเจ้า เจ้าชายก็อดฟรีย์น่าจะอยู่ในโรงเหล้าที่ไหนสักแห่ง แล้วก็กำลังเมาอยู่"
อิลเลพร่าหัวเราะทั้งน้ำตาแล้วจึงเช็ดมันออกไป
"ข้าก็หวังเช่นนั้น" นางกล่าว "มันเป็นครั้งแรกที่ข้าคาดหวังเช่นนั้นจริงๆ"
พวกเขายังคงเดินทางต่อไปอย่างเศร้าซึมและเงียบงัน ผ่านไปยังดินแดนที่รกร้างว่างเปล่า แต่ละคนต่างหลุดเข้าไปในห้วงความคิดของตนเอง ภาพของหุบเขาใหญ่ยังคงติดตราตรึงอยู่ในพระทัยของเจ้าชายรีส พระองค์ไม่สามารถจะห้ามปรามมันได้ พระองค์ทรงคิดไปถึง สถานการณ์อันสิ้นหวังที่พระองค์ทรงผ่านมา แล้วทรงรู้สึกตื่นตันซาบซึ้งกับเซลีสที่หากนางไม่ปรากฏตัวขึ้นแล้วนั้น พระองค์ก็จะยังคงติดอยู่ข้างล่างนั่นและก็น่าจะจบชีวิตไปแล้วเป็นแน่แท้
เจ้าชายรีสทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปจับกับมือของเซลีส และทรงแย้มสรวลเมื่อพวกเขาทั้งสองคนจับมือและเดินไปด้วยกัน เจ้าชายรีสทรงรู้สึกประทับใจกับความรักและความทุ่มเทที่นางมีให้กับพระองค์ ความเต็มอกเต็มใจที่ข้ามทั้งดินแดนมา เพื่อช่วยชีวิตพระองค์ พระองค์ทรงท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าของความรักที่มีต่อนาง พระองค์ทรงแทบจะอดพระทัยไม่ไหวเพื่อรอคอยช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้อยู่กันตามลำพังและได้บอกความรู้สึกนี้กับนาง พระองค์ทรงตัดสินใจแล้วว่าทรงปราถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่กับนางไปตลอดกาล พระองค์ทรงรู้สึกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อนางซึ่งไม่เหมือนกับที่พระองค์เคยรู้สึกกับผู้ใดมาก่อน และเมื่อใดก็ตามที่เวลานั้นมาถึง พระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะขอนางแต่งงาน พระองค์จะประทานแหวนของพระมารดา ซึ่งพระมารดาพระราชทานให้กับพระองค์เพื่อมอบให้กับยอดรักแห่งชีวิตเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงหานางพบ