"มันไม่เจ็บเลยหรือ?"เจ้าชายรีสตรัสถามอย่างงุนงง
คอนเว่นยักไหล่
เจ้าชายรีสทรงวิตก ฃไปกับคอนเว่นมากกว่าที่เคย แม้พระองค์จะชื่นชมในความกล้าหาญของเขา พระองค์ทรงแทบไม่เชื่อว่า นั่นคือความบุ่มบ่ามไร้การยังคิด ที่เขาจะโผเข้าไปหาฝูงสัตว์ร้ายและไม่เคยคิดทบทวนไตร่ตรองให้ดี
อีกฝั่งด้านไกลออกไปของแม่น้ำ ฟอว์หลายร้อยตัวยืนอยู่ตรงนั้น มองออกมาอย่างเกรี้ยวกราดและพากันขบกัดฟันของพวกมัน
"ในที่สุด"โอคอนเนอร์กล่าว "พวกเราก็ปลอดภัย"
เซ็นทราส่ายหัวของเขา
"ก็เพียงแค่ตอนนี้ พวกฟอว์มีความฉลาด พวกมันรู้ว่าแม่น้ำนั้นคดเคี้ยว พวกมันจะเดินอ้อมหาหนทางและหาทางข้ามมา ในไม่ช้า มันก็จะมาถึงฝั่งของเรา เวลาเรามีจำกัดเรา ต้องรีบเคลื่อนย้าย"
พวกเขาตามเซ็นทราไป ในขณะที่เขาวิ่งผ่านทุ่งที่เต็มไปด้วยดินโคลน ผ่านน้ำพุร้อนที่ผุดขึ้นมา และนำทางผ่านไปในสภาพภูมิประเทศอันแปลก ประหลาดนี้
พวกเขายังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุด กลุ่มหมอกก็จางหายไป พระทันเจ้าชายรีสรู้สึกเบิกบานที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า นั่นคือกำแพงของหุบเขาใหญ่ หินที่เก่าแก่ส่องประกายอยู่เบื้องหน้า พระองค์ทอดพระเนตรขึ้นไปเห็นกำแพงที่อยู่สูงอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ พระองค์ทรงไม่ทราบว่า พวกเขาจะไปมันขึ้นไปได้อย่างไร เจ้าชายรีทรงยืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับคนอื่นๆและมองขึ้นไปด้วยความหวาดกลัว กำแพงดูเหมือนจะมีความ ใหญ่โตขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาไต่มันลงมา
พระองค์ทอดพระเนตรมองมันและเห็นสภาพที่ดูแย่ของพวกเขาและสงสัยว่าพวกเขาจะขึ้นไปด้านบนได้อย่างไร พวกเขาทั้งหมดอ่อนล้า ถูกโจมตีและเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เหนื่อยอ่อนมาจากการต่อสู้ มือและเท้าของพวกเขาก็เจ็บแสบ พวกเขาจะสามารถปีนขึ้นไปยังด้านบนได้อย่างไร เมื่อ พลังงานถูกใช้ไปหมดนับตั้งแต่ลงมาถึงที่นี่แล้ว
"ข้าไปไม่ไหว" คร็อกกล่าวพร้อมกับหายใจฟืดฟาด เสียงของเขาแตกพร่า
เจ้าชายรีสทรงรู้สึกในแบบเดียวกัน แต่มิได้ทรงตรัสออกมา พวกเขาถูกตอนจนมุม พวกเขาได้หนีพวกฟอว์มาได้แต่ก็คงจะเป็นได้อีกไม่นาน ในไม่ช้า พวกมันก็จะตามพวกเขาจนเจอ พวกเขาก็จะถูกลุมล้อมและถูกฆ่าตาย งานหนักทั้งหมดทั้งมวลนี้ ความพยายามทั้งหมดนี้กลับกลายไปเป็นความสูญเปล่า
เจ้าชายรีสไม่ปรารถนาจะสิ้นพระชนม์อยู่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่แห่งนี้หากพระองค์จะต้องสิ้นชีพแล้วก็ขอจากขึ้นไปตายอยู่ข้างบนนั่นอยู่บนดินแดนของพระองค์เองอยู่บนแผ่นดินใหญ่อยู่เคียงข้างกับเซลีสห้าพระองค์มีหนทางมากกว่านี้ ในการหลบหนี
เจ้าชายรีสทรงได้ยินเสียงดังอันน่าขนลุกเมื่อพระองค์ทรงหันมาพบฝูงฟอว์ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ห่างไปราวร้อยหลาพวกมันมีกันหลายพันตัวพวกมันสามารถข้ามแม่น้ำมาได้แล้วและกำลังใกล้เข้ามา
พวกเขาทุกคนดึงอาวุธอย่างเตรียมพร้อม
"ไม่มีที่ไหนเหลือให้เราวิ่งไปได้อีกแล้ว"เซ็นทรากล่าว
"อย่างงั้นเราก็จะต่อสู้จนตัวตาย" เจ้าชายรีสทรงตะโกนร้อง
"เจ้าชายรีส!" เสียงหนึ่งดังขึ้น
เจ้าชายรีสทอดพระเนตรขึ้นไปบนกำแพงของหุบเขาใหญ่แล้ว เมื่อเมฆหมอกจางหายไป พระองค์ทรงเห็นใบหน้าที่ทรงคิดว่าเป็นภาพวิญญาณจากความคิดในแว่บแรก พระองค์ทรงแทบไม่เชื่อว่าเบื้องหน้าของพระองค์นั้นจะกรากฎเป็นผู้หญิง ผู้ซึ่งกำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิดถึงของพระองค์เมื่อสักครู่
เซลีส
นางมาทำอะไรที่นี่? นางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร? แล้วใครคือผู้หญิงอีกคนหนึ่งด้านข้างนาง? นางดูเหมือนกับผู้สมานแผลแห่งราชวัง อิลเลพร่า
ทั้งสองนางแขวนตัวอยู่ด้านข้างของหน้าผาโดยมีเชือกยาวและหนาพันอยู่รอบเอวและมือพวกนางกำลังลงมาอย่างรวดเร็วโดยใช้เชือกหนาซึ่งง่ายแก่การฉวยคว้า เซลืสเอื้อมตัวโยนเชือกที่เหลือลงมาแล้วมันตกลงมาราว 50 ฟุตในอากาศเหมือนกับอาหารที่ตกลงจากสรวงสวรรค์และตกมาสู่พระบาทของเจ้าชายรีส
นี่คือทางหนีอีกหนทางหนึ่ง
พวกเขาไม่ลังเล ทุกคนรีบวิ่งไปและเพียงชั่วขณะ พวกเขาก็ปีนขึ้นไปเร็วเท่าที่จะทำได้ เจ้าชายรีสทรงปล่อยให้ทุกคนได้มุ่งหน้าไปก่อน ขณะที่พระองค์กระโดดขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย พระองค์ทรงปีนและดึงเชือกขณะที่ทรงไต่ขึ้นไป วิธีนี้พวกฟอว์ไม่สามารถเข้ามาจับมันได้
ที่ภาคพื้นดินพวกฟอว์มากมายปรากฏตัวขึ้น พวกมันพยายามที่จะขึ้นมาและกระโดดขึ้นเพื่อดึงพระบาท ซึ่งมันก็พลาดเจ้าชายรีสไปได้เพียงน้อยนิด
เจ้าชายรีสทรงหยุด ในขณะที่พระองค์ได้มาถึงตัวเซลืสผู้ซึ่งรอคอยพระองค์อยู่ตรงเชิงผา พระองค์ทรงเอนพระวรกายเข้าไปและจุมพิตนาง
"ข้ารักเจ้า" พระองค์ตรัส พระองค์ทรงรู้สึกถึงความรักที่มีต่อนางแผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย
"และข้าก็เช่นกัน"นางตอบกลับมา
พวกเขาทั้งสองคนหันไปและมองยังกำแพงของหุบเขาใหญ่พร้อมกับคนอื่นๆ พวกเขาปีนขึ้นไปสูงขึ้นและสูงขึ้น จนกระทั่งพวกเขาได้กลับขึ้นมายังดินแดนแห่งบ้านเกิด เจ้าชายรีสทรงแทบไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้
บ้านเกิด
บทที่ สี่
อลิสแตร์เร่งฝ่าไปตามหนทางแห่งสมรภูมิอันยุ่งเหยิง ตัดผ่านเข้าและออกผ่านหมู่ทหารที่กำลังต่อสู้ด้วยชีวิตกับกองทัพซากศพที่ผุดขึ้นมาอยู่รายรอบตัวพวกเขา เสียงร้องครวญและเสียงกรีดร้องเติมเต็มไปทั่วบรรยากาศ ในขณะที่เหล่าทหารสังหารพวกอสูรกาย และในทางกลับกัน ก็ถูกพวกอสูรกายสังหารไปด้วย ทั้งกองรบเงิน ทหารแม็คกิลและทหารซิเลเซียก็ต่อสู้อย่างหาญกล้า แต่พวกเขามีจำนวนน้อยกว่าพวกอสูรมาก สำหรับอสูรกายแต่ละตัวที่พวกเขาสังหารไปได้ก็จะมีอสูรอีกสามตัวโผล่ขึ้นมา อลิสแตร์มองออกว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาว่าเมื่อใดฝ่ายของนางจะถูกกวาดล้างไปจนหมด
อลิสแตร์เร่งความเร็วขึ้นไปสองเท่าตัว วิ่งออกไปอย่างเต็มกำลัง ปอดของนางแทบจะระเบิดออก นางก้มตัวผลุบๆ โผล่ๆ ในขณะที่อสูรกายตนหนึ่งกำลังฟาดมือลงมาที่ใบหน้าของนาง และนางกรีดร้องขึ้น เมื่ออสูรอีกตนข่วนเข้าที่แขน ทำให้มีเลือดไหลออกมา นางไม่ได้หยุดเพื่อต่อสู้กับพวกมัน มันไม่มีเวลาอีกแล้ว นางจะต้องตามหาอาร์กอน
นางวิ่งไปในทิศทางที่นางเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อตอนที่เขากำลังต่อสู้กับราฟี่และล้มลงไปจากการตัดขานางภาวนาว่านั่นจะไม่ทำให้เขาถูกฆ่าตาย นางหวังว่านางจะสามารถปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาได้และหวังว่านางจะทำมันได้ทัน ก่อนที่ผู้คนทั้งหมดในฝ่ายของนางจะถูกสังหารจนหมดสิ้น
อสุรกายต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมาอยู่ด้านหน้าของนาง มันขวางทางนางเอาไว้ นางจึงยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา มันเป็นลูกบอลแห่งแสงสีขาวที่พุ่งเข้าชนยังส่วนอกของอสูร มันกระแทกเข้ากับอสูร จนมันล้มหงายหลังไป
อสูรกายอีกห้าตัวโผล่ขึ้นมาและเมื่อนาง ยืนฝ่ามือออกไปนั้น ครั้งนี้มันมีเพียงแค่มวลแห่งแสงออกมาเพียงแค่ลูกเดียว อสูรอีกสี่ตนกำลังเข้ามาใกล้ตัวนาง พลังของนางเริ่มถูกจำกัดและนางก็ตกตะลึงที่ได้รู้
อลิสแตร์ทำใจกล้าสำหรับการประทะเมื่อพวกมันกำลังเข้ามาใกล้ขึ้น จนเมื่อนางได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นมา นางจึงเห็นว่าโครห์นได้กระโดดเข้ามาอยู่ข้างตัวนางและฝังเขี้ยวของมันจมลงยังคอหอยของพวกอสุรกาย อสูรตนหนึ่งหันไปหาโครห์นและอลิสแตร์จึงฉวยโอกาสนี้ นางใช้ศอกฟาดลงที่คอหอยของอสูรตนนั้น ส่งผลให้มันล้มลงไป นางจึงวิ่งออกมาได้
อลิสแตร์พาตัวเองออกมาจากความวุ่นวายและสถานการณ์ที่สิ้นหวังได้ เมื่อพวกอสูรกายได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนในฝ่ายของนางกำลังร่นถอยไปข้างหลัง ขณะที่นางเบี่ยงตัวออกมา เลี้ยวลดไปมาตามทางนั้น นางก็มาถึงทุ่งลงเล็กๆได้ในที่สุด สถานที่แห่งนี้คือที่สุดท้ายที่นางจำได้ว่าเคยเห็นอาร์กอน
อลิสแตร์กวาดสายตาไปบนพื้นดินอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดท่ามกลางซากศพทั้งหมดนั่น นางก็หาเขาจนเจอ เขานอนอยู่ตรงนั้น ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวงอเหมือนกับลูกบอล เขานอนอยู่บริเวณที่โล่งเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าเขาได้ใช้เวทมนต์บางอย่างทำให้คนอื่นอยู่ห่างออกไปจากตัวของเขา เขาหมดสติไปและเมื่ออลิสแตร์เร่งเข้ามาอยู่ข้างตัวเขานั้น นางได้แต่วาดหวังและภาวนาให้เขายังคงมีชีวิตอยู่
เมื่อนางเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกถึงการห้อมล้อมที่มันปกป้องตัวเขาไว้จากการใช้เวทมนตร์สร้างฟองอากาศรอบตัว นางคุกเข่าอยู่ข้างตัวเขาหายใจเขายังหรือในที่สุดนางก็ปลอดภัยจากสมรภูมิที่อยู่รายรอบตัว นางได้ค้นพบช่วงเวลาของการพักชั่วคราวท่ามกลางการโจมตีที่โหมกระหน่ำ
แต่กระนั้นอลิสแตร์ก็รู้สึกหวาดกลัว เมื่อนางมองลงไปยังอาร์กอน เขานอนอยู่ตรงนั้น ดวงตาปิดลง และไม่ได้หายใจนางรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความหวั่นวิตก
"อาร์กอน!" นางร้องเรียก พร้อมกับเขย่าไหล่ของเขาด้วยมือทั้งสองจนสุดตัว จนตัวเขาสั่นไหว "อาร์กอน นี่ข้าเอง! อลิสแตร์! ตื่นเถิด! ท่านต้องตื่นขึ้นมา!"
อาร์กอนนอนอยู่ตรงนั้นอย่างไร้การตอบสนอง ในขณะที่รายรอบตัวนั้นสมรภูมิก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
"อาร์กอน ได้โปรดเถิด! พวกเราต้องการท่าน เราสู้รบกับเวทมนตร์ของราฟี่ไม่ได้ เราไม่มีทักษะเหมือนที่ท่านมี ได้โปรดกลับมาหาพวกเรา เพื่ออาณาจักรวงแหวน เพื่อราชินีเกว็นโดลีน เพื่อธอร์กริน"
อลิสแตร์สั่นตัวเขา แต่เขาก็ไม่ตอบสนองใดๆ กลับมา
ความคิดอย่างแรงกล้าก็ผุดขึ้นมานาง นางวางฝ่ามือทั้งสองบนทรวงอก หลับตาลงและพยายามเพ่งทำสมาธิ นางรวบรวมพลังที่อยู่ภายในทั้งหมดของนาง พลังอะไรก็ตามที่ยังคงเหลืออยู่ และนางก็รู้สึกว่ามือของนางเริ่มอุ่นขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อนางเปิดตาขึ้นมา นางก็เห็นว่ามีแสงสีฟ้าเปล่งออกมาจากฝ่ามือ แล้วแพร่กระจายไปทั่วทรวงอกและบริเวณบ่า ในไม่ช้า มันก็ครอบคลุมไปทั่วร่างของนาง อลิสแตร์กำลังใช้เวทมนต์โบราณที่นางเคยเรียนรู้มา เพื่อจะฟื้นคืนชีวิตให้กับผู้ป่วย มันถ่ายเทพลังของนางออกไปจนนางรู้สึกว่า พลังงานที่มีทั้งหมดของนางได้หลุดออกไปจากร่าง นางรู้สึกอ่อนล้า นางตั้งใจให้อาร์กอนหวนคืนกลับมา
อลิสแตร์ทรุดตัวลง นางอ่อนเปลี้ยจากความพยายามครั้งก่อน นางล้มตัวนอนอยู่เคียงข้างกับอาร์กอน นางรู้สึกอ่อนแอเกินกว่าที่จะขยับเขยื้อนได้ นางรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว และนางถึงกับต้องประหลาดใจ เมื่อนางเห็นว่าอาร์กอนเริ่มจะขยับเขยื้อน