เขานั่งลงและหันมาหานาง ดวงตาของเขาเปล่งปลั่งเต็มไปด้วยความเข้มข้นอย่างรุนแรงที่มันทำให้นางรู้สึกกลัว เขาจ้องมาที่นางอย่างไร้ความรู้สึก จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือมาจับเข้ากับไม้เท้าและลุกขึ้นยืน เขาส่งมือมาข้างหนึ่งเพื่อจับนางและกระชากนางขึ้นมายืนบนขาทั้งสองได้อย่างไร้ความพยายาม
ในขณะที่เขาจับมือของนาง นางรู้สึกว่าพลังของนางทั้งหมดได้ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว
"เขาอยู่ที่ไหน?" อาร์กอนถาม อาร์กอนไม่ได้รอคอยคำตอบ มันดูเหมือนราวกับว่า เขารู้ว่าเขาจะต้องไปที่ไหน เมื่อเขาหันไปพร้อมกับไม้เท้าข้างกาย เขาก็เดินกลับไปยังสมรภูมิรบที่หนาตา
อลิสแตร์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาร์กอนจึงไม่ลังเลใจเลยที่จะเดินตรงเข้าไปในหมู่ทหาร จากนั้นนางจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใด เมื่อเขาสามารถสร้างฟองอากาศขึ้นจากเวทมนตร์ที่ล้อมตัวของเขาได้ ในขณะที่เขาเดินไปนั้นและมีพวกอสุรกายรี่เข้ามาจู่โจมจากทุกทิศทาง แต่ไม่มีอสูรตนใดเลยที่ผ่านเข้ามาได้ อลิสแตร์พยายามเดินอยู่ใกล้เขาให้มากที่สุด ในขณะที่เขาเดินไปอย่างไร้ความกลัว ไปอย่างปลอดภัย ผ่านลงไปในสนามรบที่หนาตาและเดินตรงไปยังทุ่งหญ้าในวันที่อากาศแจ่มใส
พวกเขาทั้งสองคนสามารถเดินผ่านทั้งสมรภูมิรบไปได้ อาร์กอนยังคงอยู่ในความเงียบในขณะที่เดินไป เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวพร้อมหมวก เขาเดินไปอย่างรวดเร็วที่ทำให้อลิสแตร์เกือบจะตามเขาไม่ทัน
จนในที่สุด เขาก็มาหยุดยืนอยู่ ณ ใจกลางของสนามรบ ในทุ่งโล่ง เขายืนอยู่ตรงข้ามกับราฟี่ ราฟี่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ยกแขนทั้งสองข้างออกมาอยู่ข้างกายดวงตาของเขากลิ้งกลอกตาไปด้านหลังศีรษะ ในขณะที่เขากำลังรวบรวมพวกอสูรกายนับพันๆ ตนให้ผุดขึ้นมาจากรอยแยกของเปลือกโลก
อาร์กอนยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูงเหนือหัว ชี้ฝ่ามือขึ้นไปยังท้องฟ้าและเปิดตาออกกว้าง
"ราฟี่!" เขาตะโกนเรียกอย่างท้าทาย
ท่ามกลางเสียงดังอึกกระทึกมากมาย แต่เสียงตะโกนของอาร์กอนนั้นดังตัดผ่านไปทั่วทั้งสนามรบ และดังกังวานออกไปถึงเนินเขา
ขณะที่อาร์กอนกำลังร้องขึ้นเสียงแหลม ทันใดนั้น ก้อนเมฆที่อยู่สูงด้านบนก็แยกตัวออก มีลำแสงสีขาวจากท้องฟ้าส่องทะลุลงมาถึงข้างล่าง ลงมาถึงฝ่ามือของอาร์กอน มันดูราวกับว่าเขากำลังเชื่อมต่อกับสรวงสวรรค์ ลำแสงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับพายุหมุน มันห่อหุ้มทั้งสมรภูมิรบเอาไว้ มันห่อหุ้มทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเขา
ต่อมาก็มีลมขนาดใหญ่พร้อมกับเสียงกระพือลมอย่างแรง อลิสแตร์มองดูอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อพื้นดินด้านล่างเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง และรอยแยกขนาดใหญ่ของเปลือกโลกเริ่มเคลื่อนไปยังทิศทางตรงกันข้ามและค่อยๆ ปิดตัวเองลง
ในขณะที่มันกำลังปิดตัวมันเองนั้น พวกอสูรหลายสิบตัวก็พากันกรีดร้องและถูกบีบอัด ในขณะที่พวกมันกำลังเคลือบคลานออกมา
อีกเพียงไม่นาน พวกอสูรหลายร้อยตัวก็พากันไถล ลื่นไหลลงกลับสู่ใต้โลกในขณะที่รอยแยกเริ่มจะแคบลงเรื่อยๆ
โลกเกิดสั่นไหวขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงเงียบสงัดลง เมื่อรอยแยกถูกปิดอย่างสนิท ในที่สุดพื้นดินกลับกลายเป็นผืนเดียวกันอีกครั้ง มันดูราวกับว่าไม่เคยมีรอยแตกเกิดขึ้นมาก่อน เสียงกรีดร้องแหลมอันน่าสยดสยองของพวกอสูรที่เคยดังทั่วบรรยากาศนั้นได้เงียบลงแล้วอยู่ภายใต้โลก
จากนั้นความเงียบงันก็ตามมา มันเป็นช่วงเวลาที่อากาศดูเงียบสงบ ในขณะที่ทุกคนต่างหยุดยืนและเฝ้ามอง
ราฟีกรีดร้องลั่น เมื่อเขาหันมาเห็นอาร์กอน
"อาร์กอน!" ราฟีร้องเสียงแหลม
ช่วงเวลาของการประทะกันครั้งสุดท้ายของสองผู้ยิ่งใหญ่กำลังมาถึงแล้ว
ราฟี่วิ่งเข้าไปอย่างที่โล่ง พร้อมชูไม้เท้าสีแดงขึ้นสูง อาร์กอนก็ไม่ได้ลังเลที่จะเร่งเข้าไปเพื่อจะต้อนรับราฟี่
เขาทั้งสองเจอกันตรงจุดกึ่งกลาง แต่ละคนก็ถือไม้เท้าขึ้นเหนือหัว ราฟี่ฟาดไม้เท้าของเขาลงมายังอาร์กอน และอาร์กอนก็ยกไม้เท้าขึ้นมาป้องกันไว้ได้ แสงสีขาวขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาเหมือนกับประกายไฟ เมื่อเขาทั้งคู่พบกัน อาร์กอนเหวี่ยงไม้เท้าออกไปและราฟี่ก็ป้องกันเอาไว้ได้
พวกเขาสู้กันกลับไปมา ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ผลัดกันรุกและรับ แสงสีขาวลอยละลิ่วไปทั่วบริเวณ พื้นดินมีการสั่นไหวในการเข้าตีแต่ละครั้ง ส่วนอลิสแตร์ก็สามารถรู้สึกถึงพลังงานอันมหาศาลที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้
จนในที่สุด อาร์กอนก็พบช่องเปิด เขาเหวี่ยงไม้เท้าจากด้านล่างตรงขึ้นด้านบน และทำให้ไม้เท้าของราฟี่แตกออกเป็นชิ้นๆ
พื้นดินเกิดการสั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรง อาร์กอนก้าวไปข้างหน้า เขาใช้มือทั้งสองชูไม้เท้าขึ้นสูงเหนือหัวและแทงลงตรงลงยังทรวงอกของราฟี
ราฟี่กรีดร้องด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง ฝูงค้างคาวหลายพันตัวพากันบินออกมาจากปากของเขาในขณะที่ขากรรไกรออกกว้าง ทั้งท้องฟ้าเปลี่ยนไปเป็นสีดำในชั่วขณะ เมื่อกลุ่มก้อนเมฆสีดำจากสรวงสวรรค์ได้รวมตัวกันขึ้น จนมาอยู่เหนือหัวของราฟี่แล้วมันจึงหมุนวนลงมาสู่พื้นโลก มันดูดกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว ราฟี่ร้องคำรามอย่างโหยหวน เมื่อตัวของเขาหมุนไปในอากาศ ถูกกระชากตัวขึ้น ไปในท้องฟ้า ถูกดึงขึ้นไปพร้อมกับโชคชะตาที่น่าสะพรึงกลัวที่อลิสแตร์ไม่ปรารถนาจะคาดคิดถึงมัน
อาร์กอนยืนอยู่ตรงนั้นหายใจอย่างหอบเหนื่อย ในที่สุด ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเงียบสงบ เมื่อราฟีถึงกับความตาย
กองทัพอสุรกายพากันกรีดร้อง ทีละตัวๆ จนพวกมันทั้งหมดสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของอาร์กอน แต่ละตัวกลายไปเป็นกองเถ้าถ่าน ในไม่ช้า ทั้งสมรภูมิก็เต็มไปด้วยกองพะเนินนับพันๆกอง นั่นคือทั้งหมดที่เหลืออยู่ของเวทมนตร์อันชั่วร้ายของราฟี่
อลิสแตร์กวาดตาสำรวจไปยังสมรภูมิและพบว่ายังมี อีกหนึ่งสมรภูมิที่ยังเหลืออยู่ เมื่อมองผ่านทุ่งโล่งไปนั้น พี่ชายของนาง คือธอร์กริน ก็เตรียมพร้อมแล้วที่จะเข้าเผชิญหน้ากับพ่อของพวกเขาเอง คือแอนโดรนิคัส นางรู้ว่าในการรบที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ หนึ่งในนั้นจะต้องจบชีวิตลง ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือพ่อของนางก็ตาม นางภาวนาว่าให้มันเป็นพี่ชายที่จะสามารถรอดชีวิตออกมาได้
บทที่ ห้า
พระนางลูอันดาทรงนอนราบอยู่ที่พื้นดินแทบเท้าของโรมิวลัสทรงเฝ้ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างหวาดกลัว ทหารของจักรวรรดิหลายพันนายไหลทะลักเข้ามาบนสะพาน พวกเขาต่างกรีดร้องด้วยเสียงแห่งชัยชนะ เมื่อพวกเขาสามารถข้ามมายังอาณาจักรวงแหวนได้ พวกเขากำลังเข้ามารุกล้ำดินแดนบ้านเกิดของพระนาง แล้วพระองค์ทรงไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากทรงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหมดหนทาง และทรงเฝ้ามองพร้อมกับทรงสงสัยว่านี่เป็นความผิดของพระนางเองทั้งหมดหรือไม่ พระนางทรงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า พระนางควรจะรับผิดชอบที่โล่พลังถูกลดระดับลงมา
พระนางลูอันดาทรงหันไปและทอดพระเนตรมองยังท้องฟ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกองทัพเรือของพวกจักรวรรดิเป็นแถวยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพระนางทรงรู้ดีว่า อีกไม่นานก็จะมีกองกำลังทหารจักรวรรดินับล้านไหลทะลักเข้ามาในนี้ ประชาชนของพระนางก็จะถูกกำจัดจนหมดสิ้น อาณาจักรวงแหวนก็จะสิ้นสุดลง ทุกอย่างจะจบสิ้นลงในเวลานี้
พระนางลูอันดาทรงหลับพระเนตรและส่ายพระเกศาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งหนึ่งพระนางทรงกริ้วพระนางเกว็นโดลีนกับพระบิดาและทรงรู้สึกดีพระทัยที่จะได้เห็นอาณาจักรวงแหวนถูกทำลาย แต่พระพระทัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่แอนโดรนิคัสได้ทรยศและกระทำชำเราพระนาง ตั้งแต่เวลาที่เขาโกนเส้นพระเกศาและทำร้ายฟาดตีพระองค์ต่อหน้าประชาชนของเขานั้น มันทำให้พระนางทรงตระหนักว่า พระนางทรงทำผิดพลาด พระนางทรงไร้เดียงสาและพระนางเพียงแค่ต้องการหาทางได้มาซึ่งอำนาจ ในตอนนี้พระนางจะทรงแลกกับสิ่งใดก็ได้ เพื่อให้มีชีวิตอย่างเก่าคืนกลับมา สิ่งที่พระนางทรงต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือ ชีวิตที่มีความผาสุขและมีความพึงพอใจ พระนางทรงไม่ปรารถนาทะเยอทะยานในการมีอำนาจอีกแล้ว ในขณะนี้พระนางทรงต้องการแค่มีชีวิตอยู่รอดและได้ทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก
แต่ขณะที่พระนางทรงเฝ้าดู พระนางลูอันดาก็ทรงระลึกได้ว่า มันสายเกินไปแล้ว ตอนนี้บ้านเกิดอันเป็นที่รักอยู่ระหว่างหนทางสู่การทำลายล้าง มันไม่มีอะไรที่พระนางจะทรงทำได้เลย
พระนางทรงได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงกลัว เป็นเสียงหัวเราะผสมกับเสียงคำราม เมื่อพระนางทอดพระเนตรขึ้นทรงพบว่า โรมิวลัสได้ยืนอยู่ตรงนั้น เขาวางมือเท้าสะเอวและมองดูไปรอบๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้า มันเผยให้เห็นถึงซี่ฟันยาวหยักอย่างฟันปลาของเขา เขาหัวเราะร่าออกมาพร้อมชะเง้อคอไปด้านหลังและหัวเราะด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
พระนางลูอันดาทรงปรารถนาที่จะฆ่าเขาเสีย หากพระนางมีดาบสั้นในมือแล้วพระนางจะทรงวิ่งไปอย่างหัวใจของเขา แต่ทรงรู้ว่าเขาเป็นชายร่างหนาและยากที่จะเข้าถึงตัวได้ อาวุธแค่ดาบสั้นนั้นอาจจะผ่านร่างเข้าไปไม่ได้
โรมิวลัสมองลงมาที่พระนางพร้อมกับรอยยิ้มที่เปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าอันบึ้งตึง
"ตอนนี้" เขากล่าว "ถึงเวลาที่ต้องฆ่าเจ้าอย่างช้าๆแล้ว"
เจ้าหญิงลูอันดาทรงได้ยินเสียงแคร๊ง เป็นเสียงกระทบกันที่มีลักษณะเด่นและทรงเฝ้ามองโรมิวลัสดึงดาบออกมาจากเอว มันดูเหมือนเป็นดาบขนาดสั้น ยกเว้นแต่ว่า มันมีปลายยาวแคบเรียวลงมา มันดูเหมือนเป็นอาวุธปีศาจที่ออกแบบมาสำหรับการทรมาน
"เจ้ากำลังจะได้รับความทรมานอย่างสาสม"เขากล่าว
ขณะที่เขาค่อยๆลดอาวุธลงนั้น พระนางลูอันดาทรงชูพระหัตถ์ขึ้นป้องพระพักตร์ ราวกับว่าพระองค์จะทรงขวางมันเอาไว้ได้ พระนางทรงปิดดวงพระเนตรและกรีดร้อง
จากนั้น สิ่งแปลกประหลาดที่สุดก็เกิดขึ้น ในขณะที่พระนางลูอันดาทรงกรีดร้อง เสียงกรีดร้องของพระองค์ถูกกลบไปด้วยเสียงที่สะท้อนก้องกว่าเสียงของพระองค์ มันเป็นเสียงกรีดร้องของสัตว์ สัตว์ประหลาด มันเป็นเสียงกรีดร้องของสัตว์ดึกดำบรรพ์ เสียงที่ดังอึกทึกกึกก้องมากกว่าเสียงใดใดที่พระองค์เคยทรงได้สดับมาชั่วทั้งชีวิต มันดังเหมือนกับฟ้าร้องที่ฉีกฟ้าทั้งฟ้าออกเป็นเสี่ยงๆ