“ท่านจะต้องหย่าให้ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะเปิดเผยให้ทั้งอาณาจักรได้รู้ว่าท่านเป็นผู้ชายแบบไหน ท่านเลือกเอา”
แล้วเฮเลนาก็หมุนตัวหันหลังให้พระองค์ แล้วเดินออกไปทางประตูที่เปิดอยู่ โดยไม่สนใจจะปิดประตูตามหลัง
ราชากาเร็ธประทับอยู่เพียงลำพังในห้องผนังหิน ฟังเสียงสะท้อนของเสียงฝีเท้านาง และทรงรู้สึกเย็นไปทั่วพระวรกายอย่างที่ไม่อาจจะสลัดทิ้งได้ ยังมีสิ่งใดมั่นคงพอจะให้พระองค์ยึดถือไว้ได้อยู่หรือไม่?
ราชากาเร็ธประทับอยู่เช่นนั้น พระวรกายสั่นสะท้าน ทอดพระเนตรประตูที่เปิดอยู่ ทรงประหลาดพระทัยที่เห็นใครคนอื่นกำลังเดินเข้ามา พระองค์ยังไม่ทันได้มีเวลาบันทึกการสนทนากับเฮเลนา ยังไม่ทันได้วิเคราะห์คำขู่ของนาง เมื่อใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังเดินเข้ามา เฟิร์ธนั่นเอง การก้าวเดินอย่างร่าเริงของเขาหายไปขณะที่เดินเข้ามาอย่างลังเล สีหน้ามีความรู้สึกผิด
“กาเร็ธ?” เขาทูลถามน้ำเสียงไม่มั่นใจ
เฟิร์ธจ้องมองพระองค์ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ซึ่งราชากาเร็ธทรงเห็นว่าเขารู้สึกแย่เพียงใด พระองค์คิดว่าเขาควรจะรู้สึกแย่ อย่างไรก็ตามมันเป็นเพราะเฟิร์ธที่ผลักดันให้พระองค์ทรงยกดาบ เป็นคนที่โน้มน้าวพระองค์ในที่สุด เป็นคนที่ทำให้พระองค์ทรงคิดว่าพระองค์เป็นมากกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่มีเสียงกระซิบของเฟิร์ธ ใครจะรู้? บางทีราชากาเร็ธอาจจะไม่ลองยกดาบนั่น
ราชากาเร็ธทรงหันไปหาเขาด้วยความกริ้ว ในที่สุดก็ทรงพบเหตุผลที่จะระบายโทสะทั้งหมดใส่เฟิร์ธ เขาเป็นคนปลงพระชนม์พระบิดา เป็นเฟิร์ธ เด็กเลี้ยงม้าโง่เง่าที่พาพระองค์มาสู่เรื่องวุ่นวายทั้งหลายนี้ ตอนนี้พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้สืบราชบัลลังก์แม็คกิลที่ล้มเหลวอีกคนหนึ่งู
“ข้าเกลียดเจ้า” ราชากาเร็ธทรงกริ้ว “ตอนนี้จะสัญญาอะไรอีกเล่า? ไหนล่ะความมั่นใจของเจ้าว่าข้าจะสามารถยกดาบนั่นได้?”
เฟิร์ธกลืนน้ำลาย ดูเป็นกังวลอย่างมาก เขาพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีอะไรจะกล่าว
“ข้าขอโทษ ฝ่าบาท” เขาทูล “ข้าผิดไปแล้ว”
“เจ้าผิดหลายเรื่องเชียวล่ะ” ราชากาเร็ธตวาด
ที่จริงแล้วยิ่งราชากาเร็ธทรงคิดเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าเฟิร์ธผิดอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเฟิร์ธ พระบิดาก็คงยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในวันนี้ และพระองค์จะไม่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ภาระของการเป็นราชาก็จะไม่ตกใส่พระเศียร เรื่องทั้งหลายนี้จะไม่ผิดพลาด พระองค์ต้องการวันธรรมดา ๆ ที่พระองค์ไม่ได้เป็นราชา เมื่อตอนที่พระบิดายังอยู่ ทรงปรารถนาให้ทุกสิ่งกลับมาและเป็นเหมือนเช่นเดิมขึ้นมาทันใด แต่ก็ทรงทำไม่ได้ อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงโทษเฟิร์ธสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ราชากาเร็ธตรัสถาม
เฟิร์ธกระแอม ดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าได้ยิน…ข่าวลือ…เรื่องซุบซิบของพวกคนรับใช้คุยกัน มีข่าวมาถึงข้ามาอนุชาและขนิษฐาของพระองค์กำลังมีคำถาม มีคนเห็นทั้งสองพระองค์ในพื้นที่ของคนรับใช้ กำลังสำรวจปล่องทิ้งปฏิกูลเพื่อหาอาวุธสังหาร มีดสั้นที่ข้าใช้ปลงพระชนม์พระบิดาของพระองค์”
ราชากาเร็ธพระวรกายเย็นเฉียบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พระองค์ทรงตัวแข็งด้วยความตกพระทัยและความกลัว วันนี้จะมีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือไม่?
พระองค์ทรงกระแอม
“แล้วพวกเขาพบอะไรไหม?” ราชาตรัสถาม พระศอแห้งผาก แทบจะเปล่งคำพูดออกมาไม่ได้
เฟิร์ธส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้ ฝ่าบาท ที่ข้ารู้คือทั้งสองพระองค์กำลังสงสัยบางอย่าง”
ราชากาเร็ธทรงรู้สึกเกลียดเฟิร์ธขึ้นมาอีกอย่างที่ไม่ทรงรู้เลยว่าจะสามารถรู้สึกได้ หากไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของเขา หากเขากำจัดอาวุธอย่างสมควรแล้ว พระองค์ก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฟิร์ธทำให้พระองค์ต้องเสี่ยง
“ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ราชากาเร็ธตรัส พลางก้าวเข้าไปหาเฟิร์ธ แล้วยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ ทอดพระเนตรเขาอย่างไม่พอพระทัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่สุด “ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าเข้าใจไหม? ไปให้พ้นหน้าข้า และอย่ากลับมาอีก ข้าจะลดตำแหน่งเจ้าไปให้ไกลจากที่นี่ และหากเจ้าเหยียบย่างเข้ามาในกำแพงปราสาทนี้อีก ขอให้แน่ใจได้เลยว่าข้าจะสั่งขังเจ้า”
“ไปได้แล้ว!” ราชากาเร็ธทรงตวาด
เฟิร์ธน้ำตาคลอหน่วย หันหลังและวิ่งออกไปจากห้อง เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องอยู่นานหลังจากที่เขาวิ่งไปตามทางเดิน
ราชากาเร็ธทรงหวนกลับไปคิดเรื่องดาบ คิดถึงความพยายามที่ล้มเหลวของพระองค์ ทรงอดคิดไม่ได้ว่าพระองค์ทรงหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตัวเอง ทรงรู้สึกเหมือนผลักตัวเองตกจากหน้าผา และนับจากนี้เป็นต้นไปพระองค์จะทรงพบแต่ความเสื่อมเสีย
ราชาประทับนิ่งอยู่เช่นนั้น ราวกับหยั่งรากลงพื้นหินทามกลางความเงียบที่ก้องอยู่ ในห้องบรรทมของพระบิดา ทรงตัวสั่นและสงสัยว่าพระองค์ทรงจัดการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง พระราชาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มั่นใจในตัวเองเช่นนี้มาก่อน
นี่คือความหมายของการเป็นราชาอย่างนั้นหรือ?
*
ราชากาเร็ธรีบเสด็จขึ้นไปตามบันไดวน ทรงรีบขึ้นไปชั้นแล้วชั้นเล่า เพื่อไปยังเชิงเทินชั้นบนสุดของปราสาท พระองค์ทรงต้องการอากาศบริสุทธิ์ ทรงต้องการเวลาและพื้นที่เพื่อคิด ราชากาเร็ธทรงต้องการมองอาณาจักรของพระองค์ในมุมกว้าง ทรงต้องการโอกาสที่จะได้เห็นราชสำนักและประชาชนของพระองค์ เพื่อจดจำว่าทั้งหมดนี้เป็นของพระองค์ แม้จะมีเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้ายมาตลอดทั้งวัน แต่พระองค์ก็ยังคงเป็นราชาอยู่นั่นเอง
ราชากาเร็ธทรงไม่สนพระทัยบรรดามหาดเล็กและวิ่งไปเพียงลำพัง ทรงก้าวขึ้นบันไดไปขั้นแล้วขั้นเล่า พลางหอบหายใจ พระองค์ทรงหยุดที่ชั้นหนึ่งระหว่างทาง ทรงก้มพระวรกายและหอบ น้ำพระเนตรไหลลงมาตามพระปราง ราชากาเร็ธยังคงทอดพระเนตรเห็นพระบิดาทำพระพักตร์ถมึงทึงใส่พระองค์อยู่ตลอดทาง
“ข้าเกลียดท่าน!” ทรงตะโกนกับอากาศที่ว่างเปล่า
ราชากาเร็ธทรงสาบานได้ว่าพระองค์ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันตอบกลับบมา พระบิดาทรงพระสรวล
พระองค์ทรงต้องการไปจากที่นี่ พระราชาทรงหันหลังและวิ่งต่อไป พุ่งไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งในที่สุดพระองค์ก็ไปถึงชั้นบนสุด พระองค์กระโจนผ่านประตูออกไปสู่อากาศสดชื่นในฤดูร้อนที่ปะทะพระพักตร์
ราชากาเร็ธทรงสูดหายใจลึก พยายามหายใจให้ทัน ทรงพอพระทัยที่ได้อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์และสายลมอันอบอุ่น ทรงถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออก ซึ่งเป็นฉลองพระองค์ของพระบิดา แล้วโยนลงกับพื้น อากาศร้อนเกินไป และพระองค์ไม่ต้องการสวมมันอีกต่อไป
ราชากาเร็ธรุดไปยังริมเชิงเทินแล้วทรงยึดกำแพงหินไว้ พลางหอบหายใจ และทอดพระเนตรลงไปด้านล่างยังเขตราชฐาน พระองค์ทรงเห็นฝูงชนมากมายกำลังทยอยออกจากปราสาท พวกเขากำลังออกจากพิธี พิธีของพระองค์ ทรงแทบจะรู้สึกได้ถึงความผิดหวังของพวกเขาจากตรงนี้ พวกนั้นดูตัวเล็กมาก พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาทั้งหมดอยู่ใต้การควบคุมของพระองค์
แต่นานเท่าไรกันเล่า?
“การเป็นราชานี่ช่างน่าขัน” มีเสียงดังขึ้น
ราชากาเร็ธทรงหันมาและต้องประหลาดพระทัยที่เห็นอาร์กอนยืนอยู่ตรงนั้น ห่างไปราวหนึ่งฟุต เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวมีผ้าคลุมศีรษะและถือไม้เท้า อาร์กอนมองพระองค์อยู่ มีรอยยิ้มที่มุมปาก แต่ดวงตาเขาไม่ได้ยิ้มด้วย มันเปล่งประกายจ้องตรงมาที่พระองค์อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งทำให้ราชากาเร็ธทรงระวังพระองค์ ดวงตาของเขามองเห็นมากเกินไป
มีหลายสิ่งที่ราชากาเร็ธทรงอยากบอกกับอาร์กอน ทรงอยากถามเขา แต่ตอนนี้หลังจากที่ทรงยกดาบไม่สำเร็จ พระองค์กลับนึกเรื่องที่ทรงต้องการถามไม่ออกสักข้อเดียว
“ทำไมท่านถึงไม่บอกข้า?” ราชากาเร็ธทรงโอดครวญ น้ำเสียงแฝงด้วยความสิ้นหวัง “ท่านน่าจะบอกข้าว่าข้าไม่ได้ถูกกำหนดมาให้ยกดาบเล่มนั้น ท่านควรจะช่วยไม่ให้ข้าต้องอับอาย”
“แล้วทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น?” อาร์กอนถาม
ราชากาเร็ธทรงพระพักตร์บึ้งตึง
“ท่านไม่ใช่ที่ปรึกษาที่แท้จริงของราชา” ราชาทรงตรัส “ท่านอาจจะให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่พระบิดาของข้า แต่ไม่ใช่กับข้า”
“อาจเป็นเพราะพระบิดาของท่านทรงสมควรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง” อาร์กอนตอบ
ราชากาเร็ธทรงกริ้วอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเกลียดชายผู้นี้ และทรงโทษเขา
“ข้าไม่ต้องการเห็นท่านแถวนี้อีก” ราชากาเร็ธตรัส “ข้าไม่รู้ว่าทำไมพระบิดาถึงทรงจ้างท่านไว้ แต่ข้าไม่ต้องการท่านในราชสำนักของข้า”
อาร์กอนหัวเราะ น้ำเสียงแหบต่ำน่ากลัว
“พระบิดาของท่านไม่ได้จ้างข้า เจ้าหนุ่มผู้โง่เขลา” เขาบอก “พระอัยกาของท่านด้วย ข้าถูกกำหนดให้มาที่นี่ ที่จริงจะบอกว่าข้าจ้างพวกเขาก็คงได้”
จู่ ๆ อาร์กอนก็ก้าวมาข้างหน้า และจ้องมองราวกับกำลังมองทะลุไปถึงวิญญาณของราชากาเร็ธ
“จะบอกเช่นนั้นกับท่านได้ไหม?” อาร์กอนถาม “ท่านถูกกำหนดให้มาที่นี่หรือเปล่า?”
คำพูดของเขากระทบใจราชากาเร็ธ ทำให้ทรงเย็นวาบไปทั่วพระวรกาย นั่นเป็นสิ่งที่ราชากาเร็ธเองทรงสงสัย พระองค์ทรงกังขาว่านี่คือคำขู่หรือไม่
“ผู้ที่ครองราชย์ด้วยโลหิตจะปกครองด้วยโลหิต” อาร์กอนประกาศ และเมื่อพูดจบเขาก็หันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อน!” ราชากาเร็ธทรงตะโกน ไม่ต้องการให้เขาจากไป พระองค์ทรงต้องการคำตอบ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ราชากาเร็ธทรงอดรู้สึกไม่ได้ว่าอาร์กอนกำลังส่งข้อความถึงพระองค์ ว่าพระองค์จะไม่ได้ปกครองอยู่นานนัก พระองค์ทรงต้องการรู้ว่านั่นคือสิ่งที่เขาบอกใช่หรือไม่
ราชากาเร็ธทรงวิ่งตามเขาไป แต่เมื่อเข้าไปใกล้ อาร์กอนกลับหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพระองค์
ราชากาเร็ธทรงหันหาไปรอบ ๆ แต่ไม่พบอะไร พระองค์ทรงได้ยินเสียงหัวเราะแหบต่ำดังมาจากที่ไหนสักแห่งในอากาศ
“อาร์กอน!” ราชากาเร็ธทรงตะโกน
พระองค์ทรงหันหาอีกครั้ง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นไปสู่สวรรค์ คุกพระชานุลงข้างหนึ่ง และหงายพระพักตร์ขึ้น พลางตะโกนก้อง
“อาร์กอน!”
บทที่ เจ็ด
อีเร็คเดินไปพร้อมท่านดยุค แบรนด์ทและคณะผู้ติดตามของท่านดยุคอีกหลายสิบคน ทั้งหมดเดินไปตามถนนคดเคี้ยวในเมืองซาวาเรีย ผู้คนเริ่มรวมตัวกันเมื่อทั้งขบวนมุ่งหน้าไปยังบ้านที่สาวรับใช้นางนั้นอาศัยอยู่ อีเร็คยืนกรานที่จะไปพบนางโดยไม่รอช้า และท่านดยุคต้องการที่จะนำทางไปด้วยตัวเอง และเมื่อท่านดยุคไปที่ใด ทุกคนก็จะตามไปด้วย อีเร็คมองไปรอบ ๆ เห็นคณะผู้ติดตามที่ใหญ่ขึ้นทุกทีแล้วรู้สึกอาย เมื่อรู้ว่าเขาจะไปถึงบ้านนางโดยมีขบวนผู้คนติดสอบห้อยตามไปด้วย